Channel Avatar

Ami & Joe Happy TV @UCDpsrnM39iHrNGI7ruNyY-A@youtube.com

75K subscribers - no pronouns :c

พากินพาเที่ยว ชีวิตต่างแดน USA


Welcoem to posts!!

in the future - u will be able to do some more stuff here,,,!! like pat catgirl- i mean um yeah... for now u can only see others's posts :c

Ami & Joe Happy TV
Posted 1 month ago

สวัสดีคะเพื่อนๆ ทุกท่าน จะมีการไลฟ์สดแบ่งปันเนื้อหาในหนังสืออีบุ๊ค ebook คัมภีร์เปลี่ยนชีวิต และอื่นๆ ตลอดทั้งปี เพื่อนๆ ท่านชอบจิตวิทยาพัฒนาตนเอง การเปลี่ยนเป็นคนใหม่ สามารถติดตามได้คะ

โดยเริ่มวันที่ 30 กันยายน และตลอดทั้งเดือนตุลาคม 2567 ตอนกลางคืนทุกวันจันทร์ เวลาประมาณ 20.30 น.,ตอนเช้าจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30 น. ทุกวัน (เว้นติดภาระกิจจะไม่ได้ไลฟ์) ช่วงตอนเช้าเน้นเรื่องสมาธิ ฝึกจิต

คัมภีร์เปลี่ยนชีวิต สะกดจิต ผลิตเงินล้าน รวมสูตรลับความสำเร็จ กฎแรงดึงดูด [Law of Attraction] พิสูจน์สิ่งมหัศจรรย์ด้วยตัวคุณเอง #ภาพยนตร์สารคดีวิทยาศาสตร์ " I Am : Tom Shadyac "

โดยเนื้อหาหลักๆ ที่จะนำมาแบ่งปันฟรี สรุปดังนี้
สารบัญ
บทที่ 1 วิวัฒนาการ ความแตกต่างของมนุษย์

บทที่ 2 อุปนิสัยผู้สำเร็จ

บทที่ 3 พลังจิตใต้สำนึก

บทที่ 4 สะกดจิต (NLP) เปลี่ยนชีวิต

บทที่ 5 กฎ 21 วัน

บทที่ 6 ออกแบบชีวิต

บทที่ 7 ติดสินใจ

บทที่ 8 พลังความเชื่อมั่นและศรัทธา

บทที่ 9 พลังแห่งความคิด

บทที่ 10 เครื่องมือเปลี่ยนชีวิต

บทที่ 11 จิตนาการสร้างอนาคต

บทที่ 12 วิธีการเปลี่ยนพลังภายใน
ปลุกพลังจิต และ วิธี "จูนจิต กับจักรวาล"

บทที่ 13 กฎแห่งชีวิต กฎโลก และกฎจักรวาล

บทที่ 14 วิธีการเอาชนะสังคมและการจัดการ

บทที่ 15 วิธีการเอาชนะอารมณ์และความคิด

บทที่ 16 ธุรกิจยุคเทคโนโลยี สร้างเงินล้านง่ายๆ
ด้วยมือถือเครื่องเดียว

บทที่ 17 สร้างตัวตน (แบรนด์) ให้เป็นผู้สำเร็จ

บทที่ 18 พัฒนาทักษะและรู้ทันยุคเทคโนโลยี

บทที่ 19 บทสรุปรวมสูตรลับความสำเร็จมหาเศรษฐีทั่วโลก

บทที่ 20 บททดสอบ Workshop

สามารถอ่านหนังสือหาตัวอย่างฟรี ตามลิงค์ด้านล่างคะ
amiebook.blogspot.com/2021/11/law-of-attraction-i-…

เปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ ด้วยวิธีง่าย ๆ โดยวิธีดึงพลังเทพในตัวเองออกมาใช้ตามหลักการที่ถูกรับรองผลลัพธ์ทางวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังไปทั่วโลกขณะนี้ สูตรลับนี้สร้างผู้คนเป็นมหาเศรษฐีร่ำรวยมาทั่วโลกแล้ว

สูตรลับวิธีเชื่อมต่อพลังจิตใต้สำนึกซึ่งเป็นพลังงานอันวิเศษและเป็นขุนทรัพย์ในตัวคุณสามารถเนรมิตความสำเร็จ ความร่ำรวย โชคลาภ เงินทอง ความรัก และสมหวังในสิ่งต่างๆ ที่คุณปรารถนาได้

เรียนรู้แก่นแท้เจาะลึกศาสตร์แห่งความร่ำรวย (The Science of Getting Rich) หลักกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ผลลัพธ์สร้างผู้สำเร็จมาแล้ว

รวมสูตรลับวิธีการสะกดจิตตัวเองสร้างการเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ด้วยกฎ 21 วัน ตลอดทั้งเรียนรู้เจาะลึกหัวใจสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิต จากกฎแห่งชีวิต กฎของโลก และกฎแห่งพลังจักรวาล และสูตรลับเทคนิควิธีออกแบบสร้างชีวิตใหม่ ทุกคนสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ ด้วยหลักวิทยาศาสตร์

คัมภีร์นี้แก้ไขปัญหาจากต้นเหตุ ทำไมคนจึงแตกต่างกัน รวย จน และยุคโควิด-19 บางคนโชคดีมีงานทำ แต่ทำไมบางคนกลับโชคร้ายตกงาน เพราะไม่รู้กฎธรรมชาติของโลกใบนี้ กฎสัจธรรมและกฎแรงดึงดูด ซึ่งเป็นกฎแห่งจักรวาลกำหนดไว้

เทคนิควิธีผลิตเงินล้านในยุคเทคโนโลยีที่สามารถใช้ได้จริงและสูตรลับผลิตเงินล้าน ยุคดิจิทัล Passive income รวมเทคนิคและวิธีการผลิตเงินที่มาแรงสามารถสร้างรายได้อย่างรวดเร็วระยะสั้นง่ายๆ ให้เป็นแนวทาง 4 วิธีสร้างรายได้ ทวีคณู ยุคทองออนไลน์

1. เคล็ดลับวิธีทำออนไลน์ยุคนี้ & โซเซียลมิเดีย

2. วิธีสร้างพลัง เครือข่าย

3. สูตรลับ สร้าง e-book ให้ได้เดือนละล้าน

4. วิธีสร้างรายได้ผ่านแอบ ,เว็บไซต์ต่าง

คนส่วนใหญ่ 99% ไม่รู้ถึงสิ่งมหัศจรรย์จากพลังภายในตัวเราเอง ซึ่งเป็นขุนทรัพย์พลังมหาศาลสร้างการเปลี่ยนแปลงชีวิต สร้างความสำเร็จให้กับเรา นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบพลังงานแห่งจักรวาล พลังงานภายในตัวเรา ซึ่ง E-book เล่มนี้ จะเปิดเผยความลับพลังงานที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ทั้งหมด ให้เราตื่นรู้

บทความนี้ ผู้เขียนจะนำเพื่อนๆ ตามลอยนักวิทยาศาสตร์ไปพร้อมกันคะ

มหัศจรรย์พลังแห่งจิตใต้สำนึกกับพลังควอนตัมสร้างความสำเร็จให้กับชีวิต

จิตใต้สำนึกเป็นพลังงานอนุภาคและคลื่นความถี่อาศัยอยู่ในมิติที่สูงขึ้นเรียกว่า เป็นพื้นที่ที่เป็นสุญญากาศสมบูรณ์แบบและเดินทางไปได้ในทุกๆ มิติ นั้น คือ มันอยู่ในตัวเราและแทรกซึมไปทุกๆ หนแห่ง และในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์เรียกอีกนัยหนึ่ง จิตใต้สำนึก คือ กลุ่มพลังงานและคลื่นความถี่และเป็นสติปัญญาอันไร้ขอบเขตของเรานั้นเอง และเป็นกุญแจสำคัญต่อความสำเร็จของทุกคน

จิตใต้สำนึกของเรามันเริ่มต้นจากพลังความคิด และส่งต่อระบบประสาทสัมผัสทั้งห้าและเข้าสู่จิตสำนึกของเรา พลังความคิดของเรามันจะถูกจัดกลุ่มและบันทึกไว้ ซึ่งจิตใต้สำนึกเป็นผู้รับและเก็บข้อมูลไว้ โดยจิตใต้สำนึกเราจะเก็บเป็นอารมณ์ความรู้สึกของเราต่างๆ และไม่มีการคัดเลือกมันทำงานตลอดทั้งวันทั้งคืนมันมีพลังมหาศาลช่วยให้ความฝันกลายเป็นจริงทำงานแบบตรงไปตรงมาและเห็นผลลัพธ์

เราไม่สามารถควบคุมจิตใต้สำนึกของตัวเองได้ แต่เราสร้างกำหนดเป้าหมายและแผนการชีวิตที่ชัดเจนเป็นแรงปรารถนาให้เปลี่ยนเป็นรูปธรรมจริงได้โดยทำสิ่งนั้น ซ้ำๆ บ่อยๆ

สามารถติดตามร่วมกันแสดงความคิดเห็นผ่านไลฟ์สดได้คะ

จะมีการไลฟ์สดทุกวันจันทร์ เวลาประมาณ 20.30 น. ใครชื่นชอบมาติดตามได้คะ ประจำเดือนตุลาคม 2567 ตลอดทั้งเดือน
และหากใครชื่นชอบเรื่องสมาธิศาสตร์เปลี่ยนชีวิตสามารถร่วมฝึกสมาธิปิดท้ายได้คะ จะมีฝึกสมาธิประมารณ 5-10 นาทีปิดท้าย

12 - 0

Ami & Joe Happy TV
Posted 1 month ago

ฝึก 3 ข้อนี้ อารมณ์พระอรหันต์ ลัดสั้นง่ายสุด บรรลุธรรมชาตินี้ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

อารมณ์พระอรหันต์ วิธีทำให้ถึงอรหันต์ สั้นที่สุด ง่ายที่สุด' คำสอน 'หลวงพ่อฤาษีลิงดำ' วัดท่าซุง

ฝึกจิตเข้าสู่อารมณ์พระนิพพาน อารมณ์พระอรหันต์
1.ฝึกด้วยลมหายใจ อานาปานุสติ
2.ระลึกถึงความตายทุกขณะ
3.มองร่างกาย ขันธ์ทั้ง 5 ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ทุกสิ่งเป็นไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา

ฟังคลิปเสียงคำสอน คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ คลิปฟังที่ลิงค์คะ
https://youtu.be/xErmcsTNmAk

องค์สมเด็จพระทรงธรรม์ท่านบอกว่า ถ้าเขาทำอย่างนี้นะ ได้ทุกวันอย่าได้ขาด วันหนึ่งใช้เวลา 2-3 นาทีก็ไม่เป็นไร ฉันไม่จำกัดเวลาว่าจะใช้เวลานานหรือเวลาเร็ว ถ้าเขาทำอย่างนี้ได้ทุกวันแล้วก็ทรงอารมณ์ตามที่บอกไว้คือ

1) นึกถึงความตายไว้ อย่าประมาทในชีวิต
2) เคารพในพระรัตนตรัย
3) ทรงศีล 5 บริสุทธิ์
4) จิตหวังพระนิพพานอย่างเดียว

"...เวลานั้นองค์สมเด็จพระทศพลเสด็จมาพอดี ทรงประทับยืนอยู่เหนือศีรษะด้านหน้า มีแสงสว่างมากแล้วท่านตรัส ท่านบอกว่า "คุณ คนที่ปฏิบัติอยู่แล้วทั้งหมดนี้กำลังใหญ่ คือเข้าถึงนิพพานทุกคน แต่ทว่าเพื่อความไม่ประมาทให้เขาทำอย่างนี้ วันหนึ่งจะใช้เวลาไหนก็ได้ เวลาที่ใจสบาย ถ้าเวลาอื่นมันติดงานมากก็เอาเวลานอน นอนก่อนจะหลับหรือว่าตื่นใหม่ๆ ใจสบาย เอาจิตใจจับนึกถึงท่าน (พระพุทธเจ้า) ถ้าบุคคลใดไม่ได้ทิพจักขุญานก็นึกภาพเอาเอง กำหนดภาพพระพุทธเจ้า หรือพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง ให้เป็นประกาย บังคับจิต ถ้าเห็นเป็นสีเหลืองก็บังคับให้เป็นสีแก้วให้ได้ทำอยู่อย่างนี้ไม่กี่วันหรอกก็เป็น ให้จิตมันเป็นฌาน ถ้านึกถึงเมื่อไรก็เห็นพระพุทธเจ้าเป็นสีแก้วเป็นประกายทุกวัน"

ท่านบอกว่าเป็นอย่างนี้ละก็ ถ้าก่อนอายุขัยของเขา 7 วัน ท่านกำหนดให้เลยนะ ว่าก่อนอายุขัยอีก 7 วันต้องตายแน่อยู่ไม่ได้ ตอนนั้นกระแสจิตของเขาจะเห็นภาพในอากาศเต็มจักรวาล ทั้งพระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี แพรวพราวไปหมด และก็หลังจากนั้นไปเมื่อกำลังใจของตนจะพ้นกำหนดในการทรงสังขาร

*สมเด็จพระพิชิตมารบอกว่าจะเข้าถึงอรหัตผลทันที*

โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี จากหนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง 39 - 003

แหล่งที่มาบทความ แนวหน้า /naewna.com

19 - 2

Ami & Joe Happy TV
Posted 1 month ago

สวัสดีเพื่อนๆ ทุกท่าน ประกาศไลฟ์สดตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 สำหรับผู้ชื่นชอบ ดูดวง , สอนสมาธิศาสตร์ เริ่มตั้งแต่วันพุธวันที่ 4 กันยายน 2567

ติดตามรายการไลฟ์สดได้ดังนี้
1.ทุกวันพุทธ, ศุกร์ ดูดวงศาสตร์ไพ่ยิปซี ,ตัวเลข ราศี และถามตอบใลฟ์สดฟรี
2.ทุกวันจันทร์, อังคาร , พฤหัส สอนฟรี สมาธิศาสตร์ , พลังจิต ปรับใช้กับชีวิต ,กฎแรงดึงดูด , พลังจักรวาล (เนื้อหาจากหนังสือและประสบการณ์ตรง)

ช่วงเวลาประมาณ 20.30 -22.00 น.

ช่องทางไฟล์สด ดังนี้
1.เพจ อ.อมรรัตน์
www.facebook.com/BlessingGodMother

2.ช่อง YouTube Ami ครูตาทิพย์ (หมอดู)
youtube.com/@Ami_Amornrat

3.TiKTok Ami Amornrat
www.tiktok.com/@ami_lawyer

สามารถกดติดตามช่องทางที่เพื่อนๆ สะดวกในการรับชอบได้คะ เข้าไปที่ลิงค์ดังกล่าวคะ


อ.อมรรัตน์ : Ami Amornrat

8 - 0

Ami & Joe Happy TV
Posted 2 months ago

อยู่ด้วยจิตว่าง มองทุกสิ่งในโลกใบนี้ *ด้วยจิตว่าง* เสียงธรรม โดย หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ

จิตว่างไม่ได้ หมายถึง การไม่มีความคิดหรือการปล่อยให้จิตใจว่างเปล่า แต่หมายถึงการที่จิตใจปราศจากความยึดมั่นถือมั่นและความปรารถนาในสิ่งต่างๆ ท่านอธิบายว่าจิตว่างคือการปล่อยวางจากสิ่งที่ทำให้จิตใจหนักและเป็นภาระ การมีจิตว่างคือการที่จิตใจสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ถูกครอบงำด้วยความคิด ความรู้สึก หรืออารมณ์

อ. พุทธทาส มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่ธรรมะและแนวคิดทางพุทธศาสนาให้กับชาวไทยและชาวต่างชาติ หนึ่งในแนวคิดสำคัญที่พุทธทาสสอนคือเรื่อง "จิตว่าง" หรือ "จิตว่างจากความยึดมั่นถือมั่น" ซึ่งเป็นแก่นสำคัญของการปฏิบัติธรรมะ

ความหมายของจิตว่างตามพุทธทาส

จิตว่างไม่ได้หมายถึงการไม่มีความคิดหรือการปล่อยให้จิตใจว่างเปล่า แต่หมายถึงการที่จิตใจปราศจากความยึดมั่นถือมั่นและความปรารถนาในสิ่งต่างๆ ท่านอธิบายว่าจิตว่างคือการปล่อยวางจากสิ่งที่ทำให้จิตใจหนักและเป็นภาระ การมีจิตว่างคือการที่จิตใจสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ถูกครอบงำด้วยความคิด ความรู้สึก หรืออารมณ์

การปฏิบัติเพื่อให้ได้จิตว่าง

พุทธทาสเน้นการปฏิบัติเพื่อให้ได้จิตว่างผ่านการมีสติและสมาธิ รวมถึงการเข้าใจธรรมะอย่างลึกซึ้ง แนวทางที่พุทธทาสสอนมีดังนี้:

1. การมีสติ

การมีสติเป็นพื้นฐานสำคัญในการฝึกจิตว่าง สติคือการตระหนักรู้ในปัจจุบันขณะ โดยไม่ติดใจหรือหมกมุ่นอยู่กับความคิดหรืออารมณ์ การมีสติช่วยให้เรารับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้นโดยไม่ต้องตัดสินหรือประเมิน

2. การฝึกสมาธิ

สมาธิเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้จิตใจสงบและตั้งมั่น พุทธทาสแนะนำให้ฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้จิตใจสามารถปล่อยวางจากความคิดฟุ้งซ่านและอารมณ์ที่รบกวน การฝึกสมาธิช่วยให้จิตใจมีความสงบและเป็นอิสระมากขึ้น

3. การศึกษาและเข้าใจธรรมะ

การศึกษาและเข้าใจธรรมะเป็นสิ่งที่สำคัญในการฝึกจิตว่าง พุทธทาสเน้นการศึกษาและเข้าใจหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้เราสามารถเห็นความจริงของชีวิตและปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่น

ผลที่ได้

1. การมีความสุขและความสงบในชีวิต

การมีจิตว่างช่วยให้เรามีความสุขและความสงบในชีวิต การปล่อยวางจากความคิดและอารมณ์ที่เป็นลบช่วยให้จิตใจมีความสงบและเป็นอิสระมากขึ้น

2. การพัฒนาปัญญา

การมีจิตว่างช่วยพัฒนาปัญญาและความเข้าใจในธรรมะ การมีสติและสมาธิช่วยให้เรามีความชัดเจนและสามารถเห็นความจริงของชีวิตได้อย่างตรงไปตรงมา

บทสรุป

จิตว่างตามคำสอนของพุทธทาสคือการปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นและความปรารถนาในสิ่งต่างๆ การฝึกจิตว่างสามารถทำได้ผ่านการมีสติ การฝึกสมาธิ และการศึกษาและเข้าใจธรรมะ การมีจิตว่างช่วยลดความเครียด มีความสุขและความสงบในชีวิต และพัฒนาปัญญา การปฏิบัติตามคำสอนของพุทธทาสจะช่วยให้เรามีจิตใจที่สงบและเป็นอิสระจากความทุกข์ในชีวิตประจำวัน

แหล่งที่มาอ้างอิง บทความ main.bia.or.th

ฟังคำสอนของหลวงพ่อพุทธทาสภิกขิ เพิ่มเติมตามลิงค์ด้านล่างคะ *จิตว่าง*

https://youtu.be/SnzirN3SUGU

12 - 2

Ami & Joe Happy TV
Posted 3 months ago

มนุษย์ปุถุชนทั่วไป เราทุกคนหากยังไม่ได้พัฒนาจิตวิญญาณ สู่อริยบุคคล (ตัวตนระดับสูงจิตเดิมแท้) ถือว่าอยู่ภายใต้โลกธรรม 8
โลกธรรม 8 หมายถึง ธรรมดาของโลก เรื่องของ ธรรมชาติของโลกที่ครอบงำสัตว์โลก และต้องเป็นไปตามนี้ โดยมี 8 ประการอันประกอบด้วย


โลกธรรมฝ่ายอิฏฐารมณ์ คือ พอใจของมนุษย์ เป็นที่รักเป็นที่ปรารถนา
1.ลาภ หมายความว่า ได้ผลประโยชน์ ได้มาซึ่งทรัพย์
2.ยศ หมายความว่า ได้รับฐานันดรสูงขึ้น ได้อำนาจเป็นใหญ่เป็นโต
3.สรรเสริญ คือ ได้ยิน ได้ฟัง คำสรรเสริญคำชมเชย คำยกย่อง เป็นที่น่าพอใจ
4.สุข คือ ได้ความสบายกาย สบายใจ ความเบิกบาน บันเทิงใจเริงใจ


โลกธรรมฝ่ายอนิฏฐารมณ์ คือ ความไม่พอใจของมนุษย์ ไม่เป็นที่ปรารถนา
1.เสื่อมลาภ หมายความว่า เสียลาภไป ไม่อาจดำรงอยู่ได้
2.เสื่อมยศ หมายถึง ถูกลดอำนาจความเป็นใหญ่
3.นินทาว่าร้าย หมายถึง ถูกตำหนิติเตียนว่าไม่ดี ถูกติฉินนินทา หรือถูกกล่าวร้ายให้เสียหาย
4.ทุกข์ คือ ได้รับความทุกขเวทนา ทรมานกาย ทรมานใจ


โลกธรรม 8 แบบ ธรรมจักรกัปปะวัตตะนะสูตรตัง


อริยะธรรม แก่นธรรม แห่งอริยะ


สิ่งที่เกิดขึ้นแต่เก่าก่อนมีอยู่เดิมแต่หลังแล้วในโลก


โลกธรรม 8 คือ แปดข้ออันเป็นอุปนิสัยอาการอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ที่มีอยู่ มีตั้งต้นจากหนึ่ง และแปรเปลี่ยนตามกันไป ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ในขณะนั้น อันอุปนิสัยสันดารของมนุษย์ มีตั้งอยู่ในความรู้สึกนั่นเองว่าอาการอันมีแรกเริ่ม ก่อนและตาม ติดต่อกันมาจาก1-8


โดยอาการแรกเริ่มที่1 คือตั้งต้นของอาการต่อๆไป วกวนสับกันไปมาในอาการต่างๆและวนมายังอาการแรกมีดังนี้
1.รัก อาการที่สัตว์โลกมีแรกเริ่มความรู้สึกแรก "(และจะตามติดต่อกันมาดังนี้)"
2.โลภ อยากได้ไม่รู้พออยากมีไว้ครอบครองเพียงแค่ตนเองเท่านั้น
3.โกรธ ความไม่พึงใจ ในสิ่งอื่น
4.หลง ความเข้าใจที่ไม่ถูก หักเห โลเล งมงาย
5.ลาภ. ล้วนได้มาจากไม่รู้ แต่รู้แล้วยังพึงเอามาแก่ตน
6.ยศ ถานันดรยกขึ้นมาว่าเหนือกว่าให้ผู้อื่นเกรงกลัว ในฐานันดรสูงกว่าไห้ผู้อื่นสักการะ หยิ่งยโสยกยอตนก็มีนั่นเอง
7.สรรเสริญ การถูกยกย่องโดยร่วมตามมาจากยศ สร้างให้มี ทั้งอีกหลายๆอย่างมารวมเข้าด้วย
8. ติฉินนินทา ติ. การว่ากล่าวในสิ่งที่ตนเองผู้อื่นกระทำแล้วดูไม่เหมาะไม่ควรเกิดความไม่พึงใจ ในสิ่งนั้น ฉิน. การดูถูกเหยียดหยาม ว่าร้าย ไม่พึงใจกับการที่ตนมีนั้นว่าน้อยกว่า ด้วยอาการต่างๆเช่นสายตา ปาก ใบหน้า(สบัดหันหน้าไปทางอื่น)และทางวาจาการพูด นินทา. การพูดคุยกันหลายคนและต่อๆกันไปเรื่อยๆในทุกๆทางทุกอย่างทุกด้านของผู้อื่น และมีเพิ่มเติมลดลงบ้างในเรื่องนั้นที่พูดกัน. ก็มีพอใหสังเขปดังนี้


มนุษย์ปุถุชนทั่วไป คือ ผู้มีสภาวจิตอยู่ภายใต้ *โลกีย์*


โลกีย์ - โลกิยะ แปลว่า ยังเกี่ยวข้องกับโลก, เรื่องทางโลก, ธรรมดาโลก, ใช้ว่า โลกีย์ หรือ โลกิยะ ก็มี
โลกิยะ หมายถึงภาวะความเป็นไปที่ยังวนเวียนอยู่ในภพสาม คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ คือยังเกี่ยวข้องอยู่กับเรื่องกาม ตัณหา ทิฏฐิ อวิชชา


โลกิยะ เป็นคำใช้คู่กับ โลกุตระ ซึ่งแปลว่า พ้นโลก, เหนือโลก


โลกิยะ ที่ใช้ในรูปของโลกีย์ ในทางโลกมักใช้หมายถึงเรื่องเกี่ยวกับกามารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เช่นใช้ว่า กามโลกีย์ คาวโลกีย์


อริยบุคคล คือ ผู้มีสภาวจิตอยู่ภายใต้ *โลกุตระ*


โลกุตระ (อ่านว่า โลกุดตะระ) แปลว่า พ้นโลก อยู่เหนือวิสัยของโลก หรืออุตรภาพ เป็นคำที่ใช้คู่กับ โลกิยะ ซึ่งแปลว่า ยังเกี่ยวข้องกับโลก เรื่องของโลก


โลกุตระ หมายถึงภาวะที่หลุดพ้นแล้วจากโลกิยะ ไม่เกี่ยวข้องกับกาม ตัณหา ทิฏฐิ อวิชชาอีกต่อไป ได้แก่ธรรม 9 ประการซึ่งเรียกว่า นวโลกุตรธรรม หรือ โลกุตรธรรม 9


ในธัมมสังคณี พระอภิธรรมปิฎก ระบุว่า โลกุตรธรรม มี 9 ได้แก่ อริยมรรค 4 อริยผล 4 นิพพาน 1 โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.มรรค 4 คือ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตมรรค

2.ผล 4 คือ โสดาปัตติผล สกิทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตผล
นิพพาน


นิพพาน หมายถึง ความดับสนิทแห่งกิเลสและกองทุกข์ เป็นสภาพโลกุตระอันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดในศาสนาพุทธ


อ้างอิง
1.พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ทสุตตรสูตร ที่ ๑๑. พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ. [ออนไลน์]. แหล่งข้อมูล : เข้าถึงเมื่อ 25-10-52
2.พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิต พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด, วัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548
3.พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิต พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด, วัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548
4.ข้อความจากวิกิพีเดีย

46 - 0

Ami & Joe Happy TV
Posted 5 months ago

สวัสดีเพื่อนๆ ทุกท่าน ผู้ใดชื่นชอบ จิตวิญญาณในแง่ศาสตร์สากลวิทยาศาสตร์ สมาธิแบบบูรณาการ หลากหลายศาสตร์ ติดตามการไฟล์สด

อาทิ สมาธิศาสตร์สมัยใหม่ มิติ 5D กับ จิตวิญญาณ มิติแห่งพลังงาน หรือมิติแห่งตัวตนระดับสูง กับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยุคควอนตัมมาแบ่งปัน **มุ่นเน้นนำไปฝึกปฏิบัติให้เกิดผลลัพธ์ด้วยตนเอง**

สรุปเนื้อหาย่อๆ ที่จะนำมาแบ่งปัน ปี 2567 (ภาคครึ่งปีหลัง ไลฟ์สดต่อจากครั้งก่อนๆ )

เนื้อหาหลักๆ ที่จะนำมาแบ่งปัน จิตวิญญาณ (มิติ 5D - มิติ 3D) และการเดินทางของจิตกับสมาธิศาสตร์ พัฒนาจิตใจยกขึ้นสู่ระดับสูง สร้างการเปลี่ยนแปลงชีวิต สู่จิตอิสระ เกิดสภาวะผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นำหลากหลายศาสตร์ทั้งตะวันตก และไทยมาแบ่งปัน

ฝึกจิตมีหลากหลายรูปแบบ ดิฉันมีโอกาสได้ไปเรียนจากครูบาอาจารย์ทั้งศาสตร์ตะวันตกและไทย หากเราฝึกฝนจนมันสร้างความเคยชินอัตโนมัติให้กับจิตได้ ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไป เนรมิตชีวิตได้

แนวทางที่จะนำมาแบ่งปัน สอนเทคนิคพิเศษที่ได้ฝึกแล้วมีแต่สิ่งดีๆ กับตัวเอง
1.สมาธิจักระ
2.สมาธิฝ่ามือ
3.สมาธิพลังงาน (แสง)
4.สมาธิจินตนาการ
5.สมาธิไทย (เทคนิคพิเศษ)
6.สมาธิอื่นๆ

ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงหากคุณเข้าใจ เปลี่ยนแปลงสภาวะจิต ยกจิตใจให้สูงขึ้น อยู่เหนือความคิดความรู้สึกของตนเอง สภาวะเหนือขันธ์ จะแบ่งปันทั้งทฤษฎี และวิธีปฏิบัติ เปรียบเทียบ ระหว่าง จิตวิญญาณ กับ วิทยาศาสตร์ และหลักปฏิบัติให้ชีวิตตื่นรู้ทั้งปัญญาทางโลกสมัยใหม่ และปัญญาทางธรรมภายใน (ธรรมชาติ)


มิติที่ 5D เป็นแนวคิดที่มีมานานหลายปี เป็นทฤษฎี *ควอนตัม* มิติแห่งจิตปัจจุบัน รู้ตัวทุกขณะ อยู่กับความเป็นอิสระ **ว่าง**

*จิตวิญญาณหรือจิตเดิมแท้* คือ "ผู้รู้" สิ่งที่ทำหน้าที่ *รู้หรือรับรู้* ดังนั้น จิต คือ ตัวรับรู้กิริยาข้อความหรือรับรู้สภาวะทั้งภายในภายนอก โดยหลวงพ่อพุธ ฐานิโยได้เทศไว้ตอนหนึ่ง ว่าจิต คือ ผู้รู้ และหลวงพ่อชา สุภัทโทท่านได้เคยเทศสอนอธิบายหลักการทำงานของจิตว่า จิตก็ คือ *ตัวรู้สึก ตัวรู้ภายใน* รู้สึกเมื่อไรก็เห็นจิต


*พุทธะ* คือ สภาวะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน การที่เราจะเข้าถึงพุทธะได้ สิ่งเดียวเท่านั้น คือ *สติ* เมื่อไรเรามีสติ เราก็เห็น *จิต* ฉะนั้น ตัวสตินี่แหละที่เรียกว่า *พุทธะ* สติตัวกำหนดเห็นสัจธรรมอันแท้จริง สติมีกำลังจึงเห็น *ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน* โดยหลวงพ่อพุธท่านได้อธิบายไว้ ว่า "สติ" คือ "พุทธะ"


หลักการทฤษฏีควอนตัม เป็นการศึกษาพลังงานต้นกำเนินสิ่งที่เล็กยิ่งกว่าอะตอม ระบบวิทยาศาตร์สมัยใหม่วิจัยให้ความเชื่อที่มุ่งเน้นในการเพิ่มการสั่นสะเทือนและเคลื่อนไปสู่ความถี่ที่สูงขึ้นเพื่อบรรลุการ *ตรัสรู้* หรือ เรียกกันว่า *สัจธรรม*

คำว่า *ธรรม* จริงๆ แล้วสรุปสั้น คือ การเข้าสู่จิตอันเป็นธรรมชาติ เข้าใจสัจธรรมซึ่งเป็นธรรมชาติอันแท้ มองด้วยตาในเห็นทุกสิ่งล้วนแล้วเป็นธรรม (สิ่งเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ กฎสัจธรรม) ซึ่งสามารถทำได้โดยการฝึกสมาธิ การไตร่ตรองตนเอง และดำเนินชีวิตด้วยตัวตนระดับสูง คือ การเข้าสู่ 'จิตวิญญาณ'


เราทุกคนมีสิ่งวิเศษ จิตอันบริสุทธิ์ การเข้าถึงมิติที่ 5D คือการกลับบ้านเก่า คืนสู่จิตต้นกำเนินซึ่งเป็นธาตุแท้
การเดินทางกลับบ้านสู่มิติ 5D ทำได้อย่างไร?


สิ่งแรกในการเข้าถึงมิติที่ 5 คือการเพิ่มการสั่นสะเทือนของคุณ


มิติที่ 5 คือ สถานที่แห่งจิตสำนึกอันบริสุทธิ์ สติปัจจุบัน สติ คือพุทธะในตัวคุณ


เมื่อไรคุณมีสติ นั้นแหละคุณกำลังเดินทางกลับบ้านของคุณแล้ว เป็นสถานที่ที่คุณไม่มีความคิดหรืออารมณ์ ปราศจากการยึดมั่นถือมั่น ไร้อัตตา (อยู่เหนือขันธ์ 5)


มันเป็นสถานที่ที่ต้นกำเนินของคุณ ซึ่งหมายความว่า คุณต้องกำจัดสิ่งขัดขวางภายใน (ความคิด) อย่างน้อยก็ชั่วคราว ซึ่งค่อนข้างยุ่งยากสำหรับผู้ไม่เคยฝึกจิตให้อิสระ เราจำเป็นต้องฝึกฝนบ่อยๆ ให้เกิดความเคยชิน สร้างอุปนิสัย แบบอัตโนมัติให้กับจิต


เส้นทางการฝึก มีหลายสิ่งที่คุณสามารถทำได้ เพื่อช่วยเพิ่มการสั่นสะเทือนและเคลื่อนเข้าสู่มิติที่ 5:


ชาวพุทธเราสอนกันอยู่แล้ว เส้นทางการทำสมาธิ สู่มิติพลังงาน ทางกลับบ้านเก่า มิติ 5D

วิธีการฝึกสมาธิ การทำสมาธิเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการชะลอความคิดของคุณ และช่วยให้คุณสัมผัสกับตัวตนที่แท้จริงของคุณ เป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการเริ่มต้นกำจัดความคิดและอารมณ์ และพาคุณไปสู่ทางที่จะเพิ่มความสั่นสะเทือน


การทำสมาธิเป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการติดต่อกับมิติที่ 5 แต่ไม่ใช่วิธีเดียวเท่านั้น

การทำสมาธินั้นยอดเยี่ยม ไม่ว่าคุณจะต้องการเข้าถึงมิติที่ 5 หรือเพียงแค่ยกระดับชีวิตของคุณเอง


คุณจะเห็นถึงความมหัศจรรยของสมาธิ คุณจะปล่อยให้ตัวเองได้สัมผัสกับตัวตนที่แท้จริงของคุณ


ติดตามได้คะ ระหว่างเวลา 21.30 -22.30 น. (เวลากลางคืนไทย) ทุกวันจันทร์ , พธ ,ศุกร์ บางวันอาจเปลี่ยนแปลงเร็วบ้างช้าบ้าง หรือช่วงเช้า จะมีไลฟ์สดทุกเวลาดังกล่าว (ยกเว้นติดภาระกิจ)


ความรู้ทางโลก ความรู้ทางจิตวิญญาณมิติที่สูงขึ้น และลงมือปฏิบัติให้เห็นแจ้งด้วยตนเองเกิดขึ้นภายในจิต ปลดปล่อยจิตให้อิสระสู่ธรรมชาติ มุ่นเน้นสอนจิตวิญญาณสากลต่างประเทศ แบบวิทยาศาสตร์สมัยใหม่

5 - 0

Ami & Joe Happy TV
Posted 7 months ago

ฝึดจิตในชีวิตประจำวัน *** ทำงานตามหน้าที่ ด้วยใจที่ว่างอิสระจากสังขาร **

กำหนดสติรู้อยู่ภายในกาย จะเห็นจิตอันแท้จริง นิ่งสงบ **สังเกตสภาวะเอา**

ทดลองง่ายๆ
1.ทำให้ผ่อนคลาย เบา สบายๆ
2.ตั้งสติ กำหนดระลึก *รู้สึกตัว* ไว้ที่ กาย หรือลมหายใจ (รู้ลมหายใจเข้าออก) เช่น รู้ลมหายใจเข้าลึกยาวและออก [ลองกั้นลมหายใจ..จะเห็น]
2.ตัวดู ตัวเห็น (ตาภายในหรือตาปัญญา) สังเกตทั่วร่างกาย **สังเกตความคิดมีไหม** ขณะที่หายใจเข้ายาว-ออกยาว หรือขณะกั้นหายใจ (หากเห็นสภาวะ แค่รู้ว่า **สงบ นิ่ง อิสระ โล่งๆ กว้างๆ ความว่างเปล่าจากสังขาร นั้นแหละ *จิตเดิม* คือ จิตที่เห็นตัวเองนิ่งสงบอิสระจากความคิด ให้ **จำสภาวะนิ่งสงบนี้ไว้** ฝึกบ่อยๆ
3.และทดลองดูไปที่รูป-นาม (รูปร่างกาย) (นามจิตใจ) ดูทั้งสอง แบบเบาๆ สบายๆ สังเกตดูกว้างๆ ทั่วร่างกายและจิตใจ จะเห็นสภาวะธรรมการทำงานเกิด-ดับเคลื่อนไหวไปมา แต่จะเห็นเพียงแค่ชั่วคราว และจิตจะวิ่งไปที่สังขารการปรุงแต่งตามเดิมเพราะสติยังไม่มีกำลัง ดังนั้น ครูบาอาจารย์จึงสอน ต้องฝึกสติ ด้วยอุบายต่างๆ เพื่อทำให้เกิดสมาธิจิตเป็นหนึ่ง จิตจึงมีพลังตั้งมั่น

ผู้เห็น ผู้รู้ (จิตเดิม) และสภาวะที่เห็น อาทิ เห็นรูป เห็นนาม เห็นความว่าง โล่งๆ และเห็นสภาวะอื่นๆ **รูปนามความว่างโล่งเปล่าเป็นสิ่งที่ถูกเห็น** ก็ลองนำไปปฏิบัติพิจารณาดูคะ หากคุณเห็นสภาวะและแยกรูปนาม และผู้เห็นผู้รู้ได้ ครูบาอาจารย์ท่านว่า จุดเริ่มต้นมีดวงตาเห็นธรรมแล้วคะ

คำว่า ××ผู้รู้และผู้ถูกรู้** ตรงนี้อยู่ที่สภาวะที่เราเห็น. เรารู้ภายใน มันรู้เฉพาะตน เพราะชื่อเรียกคำว่า *ผู้รู้ & ผู้ถูกรู้**เป็นเพียงสมมุติขึ้นมาเท่านั้น แต่สภาวะภายในเราจะรู้ด้วยตัวเอง ..และ เมื่อจิตมันเกิดปัญญาคำว่า ผู้รู้มันจะหายไปเองด้วยปัญญา สุดท้ายจิตมันก็แค่นิ่งสงบ คือ จิตมันทำลายตัวมันเองด้วยปัญญา **จิตมันแค่รู้เฉยๆ นิ่ง ๆ อุเบกขา**

หลวงปู่ดุลย์ ท่านสอนไว้ *พบผู้รู้ ทำลายผู้รู้* หมายถึง จิตที่ฝึกดีแล้ว มันเกิดปัญญารู้แจ้ง มันจะทำลายอวิชชาในตัวของมันเอง คือ ปัญญารู้แจ้งในอริยสัจ 4 (อธิบายคำว่า..ทำลายผู้รู้ #หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช)

การฝึกสติจึงสำคัญ การทดลองนี้ เป็นเส้นทางแนวคำสอนของครูบาอาจาย์ ท่านฝึกสอน **ให้เห็นจิตแท้**

เวลาที่จิตเราสงบนิ่ง ตัวจิตเองนั่นแหละจะเป็นผู้เห็น จะเห็นสภาวะธรรม 3 อย่าง คือ สภาวะรูป สภาวะนาม และสภาวะจิตเดิม (เห็นตัวมันเองที่นิ่งๆว่าง) ช่วงที่เราหยุดคิดนี่แหล่งที่ครูบางอาจารย์ท่านบอกว่า **ใครเห็นสภาวะ ใครที่นิ่งสงบ* *ผู้ที่เห็น* นั้นแหล่ะ *จิตแท้ต้นทาง* ฝึกบ่อยๆ จิตเดิมแท้จะชัดเจน นิพพานไม่ไกล คำกล่าวของครูบาอาจาย์

เมื่อกำหนดสติไว้ตั้งอยู่ในฐานกาย (ลมหายใจ) ตัวสังเกตจะเห็น ไม่มีความคิด มีแต่ความโล่งกว้าง สงบ นิ่ง ว่างเปล่า อิสระ

การเห็นสภาวะจิตเดิมเป็นส่วนหนึ่งของสภาวนิพพาน แต่ยังไม่หลุดพ้นเพราะจิตยังไม่เกิดปัญญาญาณ จิตเดิมแท้ยังมีอวิชชา คือ ยังไม่เห็นอริยสัจ4 ยังไม่เห็นไตรลักษณ์ตามความเป็นจริงแห่งสัจธรรม

ที่มาเนื้อหาข้อความ ขอหยิบยกมาจากครูบาอาจารย์

แบ่งปัน โดย อ.อมรรัตน์

99 - 4

Ami & Joe Happy TV
Posted 7 months ago

ครูบาอาจาย์ ท่านสอน **ดูจิต เห็นจิต** ฝึกจิตแบบนี้ เส้นทางหลุดพ้น บรรลุเป้าหมายทางจิตวิญญาณระดับสูง

การดูจิตดูใจ

ฝึกจิตให้ทำ 2 อันนี้ *เจริญสติ กับ เจริญปัญญา* มีสติคอยระลึกรู้สภาวธรรมไป สิ่งที่เรียกว่าสภาวธรรม ก็คือ รูปธรรม นามธรรม สภาวธรรมอีกชนิดหนึ่งคือนิพพาน ทำทั้ง 2 อย่างนี้ จะเห็นสัจธรรม อริยสัจ 4 ท่องแท้

สรุปสิ่งที่เรียกว่าสภาวธรรม มี 4 อย่าง
1.มีจิต
2.เจตสิก
3.รูป
4.แล้วก็นิพพาน

ทำไมเริ่มจากจิตก่อน เพราะในสภาวธรรมทั้งหลาย จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธานในธรรมทั้งปวง ฉะนั้นเราเรียนรู้จิตของเราให้ดี เราจะได้ทั้งสติ ได้ทั้งสมาธิ พอมีสติ มีสมาธิแล้ว ไม่ต้องห่วงเรื่องปัญญา แค่มีสติที่ถูกต้อง มีสมาธิที่ถูกต้องบ่อยๆ เดี๋ยวปัญญามันก็เกิด ปัญญามีสัมมาสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิด ส่วนตัวสตินั้นมีการจำสภาวะได้แม่นเป็นเหตุใกล้ให้เกิด เราหัดดูสภาวะบ่อยๆ สภาวะอันแรกคือจิตนั่นเอง จิตมันไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวโดดๆ เวลาที่จิตที่เกิดขึ้นทุกครั้งจะมีเจตสิกจำนวนมากเกิดร่วมกับจิต

เจตสิก
สิ่งที่เรียกว่าเจตสิกมี 3 กลุ่ม
1.มีเวทนา ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์
2.สัญญา ความจำได้ ความหมายรู้
3.สังขาร ความปรุงดี ความปรุงชั่ว ปรุงไม่ดีไม่ชั่ว
ทั้งหมดนี้เรียกว่าเจตสิก จิตโดยตัวของมันเองไม่ดีไม่เลว มันเป็นสภาวะที่เป็นกลางๆ มันเข้าได้กับเจตสิกทั้งที่ดี ทั้งที่เลว ฉะนั้นโดยตัวจิตเองมันผ่องใส มันประภัสสร

จิตโดยตัวของมันเองเป็นกลางๆ มันจะสุขหรือมันจะทุกข์ก็เพราะเวทนาที่มาเกิดร่วมกับมัน แล้วมันจะดีหรือมันจะชั่วก็เพราะสังขาร เป็นเจตสิกอีกชนิดหนึ่ง

เจตสิกมี 3 อย่าง มีเวทนา สัญญา สังขาร ฉะนั้นมันจะดีหรือมันจะชั่ว ไม่ใช่ที่ตัวมันเอง ตัวจิตมันไม่ดีไม่ชั่ว ความโกรธมาเกิดร่วมกับจิตดวงนี้ เราก็เลยรู้สึกจิตโกรธ ที่จริงจิตไม่เคยโกรธหรอก ที่โกรธไม่ใช่จิต

อย่างเวลาเราภาวนา เราเห็นจิตมันโกรธๆ อันนี้เรายังแยกขันธ์ไม่เก่ง ถ้าเราแยกขันธ์เก่ง เราจะเห็นเลย จิตเป็นคนรู้ว่าโกรธ
ความโกรธเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ไม่ใช่จิต มันเป็นเจตสิกชนิดสังขาร สังขารขันธ์ จิตมันโลภ เรารู้สึกจิตมันโลภ

แต่ถ้าจิตเราภาวนาเก่งๆ จิตมันตั้งมั่นเป็น **ผู้รู้ผู้ดู*** มันจะเห็นว่าความโลภไม่ใช่จิตหรอก เป็นสิ่งที่แทรกเข้ามาในจิต เรียกว่าเป็นเจตสิก

เวลามันฟุ้งซ่าน จิตไม่ได้ฟุ้งซ่าน จิตเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ เป็นกลางๆ ที่มันฟุ้งซ่านได้ เพราะมีเจตสิก คือความฟุ้งซ่านมาเกิดร่วมกับจิต จิตมันจะผันแปรไปต่างๆ นานาเพราะสิ่งที่มาเกิดร่วมกับมัน

เราหัดภาวนา เราค่อยๆ สังเกตไป จิตนั้นเป็นธรรมชาติที่ *รู้อารมณ์* ธรรมชาติที่ *รู้* อารมณ์นี่ล่ะที่หลวงพ่อกับครูบาอาจารย์รุ่นเก่าเรียกว่า *จิต คือ ผู้รู้* ทำไมเรียกว่าจิตคือ *ผู้รู้* เพราะจิต คือ ธรรมชาติที่ *รู้อารมณ์*

รู้เวทนาทางใจ
รู้สังขาร ความปรุงดีปรุงชั่ว

การเห็นจิตเกิดดับทางอายตนะ ถ้าเราดูจิตดูใจชำนิชำนาญขึ้น มันจะก้าวขึ้นไปสู่การเห็นจิตเกิดดับทางอายตนะ

เราจะเห็นเลย จิตที่เป็นผู้รู้มันก็อันหนึ่ง จิตที่เห็นรูปมันก็เป็นอีกดวงหนึ่ง มันดับไปพร้อมกับการดูรูป จิตที่ฟังเสียงมันก็เป็นอีกดวงหนึ่ง คนละดวงกัน เราจะเห็นว่าจิตที่ดูรูป จิตที่ฟังเสียง จิตที่ดมกลิ่น จิตที่ลิ้มรส จิตที่รู้สัมผัสทางกาย จิตที่รู้ธรรมารมณ์ทางใจ มันคนละดวงกัน

จิตที่รู้ธรรมารมณ์ทางใจก็คือมีจิตสุข จิตทุกข์ จิตเฉยๆ จิตดี จิตชั่วทั้งหลาย จิตไม่ดีไม่ชั่วทั้งหลาย

ถ้าวางจิตได้ตัวเดียว ก็วางหมดเลย ขันธ์ 5 ถ้าเห็นจิตดวงเดียวนี่ล่ะว่าไม่ใช่ตัวเรา ขันธ์ 5 ทั้งหมดจะไม่ใช่ตัวเรา โลกทั้งโลกจะไม่ใช่ตัวเรา ถ้าเห็นว่าจิตเป็นไตรลักษณ์ตัวเดียว ก็จะเห็นขันธ์ 5 เป็นไตรลักษณ์ เห็นโลกเป็นไตรลักษณ์ ฉะนั้นจิตมันเลยเป็นใหญ่ เป็นหัวหน้า เป็นประธานในธรรมะทั้งปวง

คำสอนหลวงปู่ดุลย์ เรื่องการดูจิตเป็นการปฏิบัติที่ลัดสั้นที่สุด

ดูจิต คำสอนหลวงปู่ดุลย์
*ให้รู้ไป จิตสุขก็รู้ จิตทุกข์ก็รู้ จิตเฉยๆ ก็รู้ แล้วต่อไปก็ เห็นจิตดีก็รู้ จิตชั่วก็รู้ จิตไม่ดีไม่ชั่วก็รู้ แล้วละเอียดประณีตขึ้นไปก็จะเห็นจิตเกิดที่ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ เกิดแล้วก็ดับ เกิดที่ไหน ดับที่นั่น* “จิตไม่มีที่ตั้ง” จิตเกิดตรงไหน จิตก็ดับตรงนั้นล่ะ จิตเกิดที่ตา ก็ดับที่ตา ไม่ต้องเอาตั้งไว้ที่ตาตลอด จิตเกิดที่หู ก็ดับที่หู ไม่ต้องเอาจิตไปตั้งไว้ที่หูตลอด จิตเกิดที่ใจ แล้วก็ดับที่ใจ ไม่ต้องเอาจิตไปจ้องอยู่ที่ใจตลอด นี่ดูไปเรื่อยๆ มันค่อยๆ เข้าใจเป็นลำดับไป

ที่มาข้อความ อ้างอิงจาก พ่อแม่ครูบาอาจาย์สายพระป่า หลวงปู่มั่น

79 - 11

Ami & Joe Happy TV
Posted 7 months ago

สวัสดีเพื่อน ๆ ท่านได้ชอบด้านจิตวิญญาณ และสมาธิศาสตร์ (แนวตะวันตกบูรณาการของพุทธ) ติดตามได้นะคะ ทุกวันจันทร์ , พุธ , ศุกร์ , เวลาระหว่างประมาณ 21.30 -22.30 น. (ยกเว้นบางวันติดภาระกิจจะไม่ได้ไลฟ์)

เนื้อหาหลักๆ ที่จะนำมาแบ่งปัน จิตวิญญาณ (มิติ 5D - มิติ 3D) และการเดินทางของจิตกับสมาธิศาสตร์ พัฒนาจิตใจยกขึ้นสู่ระดับสูง สร้างการเปลี่ยนแปลงชีวิต สู่จิตอิสระ เกิดสภาวะผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นำหลากหลายศาสตร์ทั้งตะวันตก และไทยมาแบ่งปัน

ฝึกจิตมีหลากหลายรูปแบบ ดิฉันมีโอกาสได้ไปเรียนจากครูบาอาจารย์ทั้งศาสตร์ตะวันตกและไทย หากเราฝึกฝนจนมันสร้างความเคยชินอัตโนมัติให้กับจิตได้ ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไป เนรมิตชีวิตได้

แนวทางที่จะนำมาแบ่งปัน สอนเทคนิคพิเศษที่ได้ฝึกแล้วมีแต่สิ่งดีๆ กับตัวเอง
1.สมาธิจักระ
2.สมาธิฝ่ามือ
3.สมาธิพลังงาน (แสง)
4.สมาธิจินตนาการ
5.สมาธิไทย (เทคนิคพิเศษ)
6.สมาธิอื่นๆ

ขอยกคำสอนครูบาอาจาย์ การสอนดูจิต ฝึกจิต เส้นทางหลุดพ้น บรรลุเป้าหมายทางจิตวิญญาณระดับสูง

การดูจิตดูใจ

ฝึกเจริญสติ เจริญปัญญา มี 2 อัน เจริญสติกับเจริญปัญญา มีสติคอยระลึกรู้สภาวธรรมไป สิ่งที่เรียกว่าสภาวธรรม ก็มีรูปธรรม นามธรรม สภาวธรรมอีกชนิดหนึ่งคือนิพพาน

สิ่งที่เรียกว่าสภาวธรรม มี 4 อย่าง มีจิต เจตสิก รูป แล้วก็นิพพาน ทำไมเริ่มจากจิตก่อน เพราะในสภาวธรรมทั้งหลาย จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธานในธรรมทั้งปวง ฉะนั้นเราเรียนรู้จิตของเราให้ดี เราจะได้ทั้งสติ ได้ทั้งสมาธิ พอมีสติ มีสมาธิแล้ว ไม่ต้องห่วงเรื่องปัญญา แค่มีสติที่ถูกต้อง มีสมาธิที่ถูกต้องบ่อยๆ เดี๋ยวปัญญามันก็เกิด ปัญญามีสัมมาสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิด ส่วนตัวสตินั้นมีการจำสภาวะได้แม่นเป็นเหตุใกล้ให้เกิด เราหัดดูสภาวะบ่อยๆ สภาวะอันแรกคือจิตนั่นเอง จิตมันไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวโดดๆ เวลาที่จิตที่เกิดขึ้นทุกครั้งจะมีเจตสิกจำนวนมากเกิดร่วมกับจิต


เจตสิก

สิ่งที่เรียกว่าเจตสิกมี 3 กลุ่ม มีเวทนา ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์ สัญญา ความจำได้ ความหมายรู้ สังขาร ความปรุงดี ความปรุงชั่ว ปรุงไม่ดีไม่ชั่ว อันนี้เรียกว่าเจตสิก จิตโดยตัวของมันเองไม่ดีไม่เลว มันเป็นสภาวะที่เป็นกลางๆ มันเข้าได้กับเจตสิกทั้งที่ดี ทั้งที่เลว ฉะนั้นโดยตัวจิตเองมันผ่องใส มันประภัสสร


จิตโดยตัวของมันเองเป็นกลางๆ มันจะสุขหรือมันจะทุกข์ก็เพราะเวทนาที่มาเกิดร่วมกับมัน แล้วมันจะดีหรือมันจะชั่วก็เพราะสังขาร เป็นเจตสิกอีกชนิดหนึ่ง


เจตสิกมี 3 อย่าง มีเวทนา สัญญา สังขาร ฉะนั้นมันจะดีหรือมันจะชั่ว ไม่ใช่ที่ตัวมันเอง ตัวจิตมันไม่ดีไม่ชั่ว ความโกรธมาเกิดร่วมกับจิตดวงนี้ เราก็เลยรู้สึกจิตโกรธ ที่จริงจิตไม่เคยโกรธหรอก ที่โกรธไม่ใช่จิต


อย่างเวลาเราภาวนา เราเห็นจิตมันโกรธๆ อันนี้เรายังแยกขันธ์ไม่เก่ง ถ้าเราแยกขันธ์เก่ง เราจะเห็นเลย จิตเป็นคนรู้ว่าโกรธ
ความโกรธเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ไม่ใช่จิต มันเป็นเจตสิกชนิดสังขาร สังขารขันธ์ จิตมันโลภ เรารู้สึกจิตมันโลภ


แต่ถ้าจิตเราภาวนาเก่งๆ จิตมันตั้งมั่นเป็น **ผู้รู้ผู้ดู*** มันจะเห็นว่าความโลภไม่ใช่จิตหรอก เป็นสิ่งที่แทรกเข้ามาในจิต เรียกว่าเป็นเจตสิก


เวลามันฟุ้งซ่าน จิตไม่ได้ฟุ้งซ่าน จิตเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ เป็นกลางๆ ที่มันฟุ้งซ่านได้ เพราะมีเจตสิก คือความฟุ้งซ่านมาเกิดร่วมกับจิต จิตมันจะผันแปรไปต่างๆ นานาเพราะสิ่งที่มาเกิดร่วมกับมัน


เราหัดภาวนา เราค่อยๆ สังเกตไป จิตนั้นเป็นธรรมชาติที่ *รู้อารมณ์* ธรรมชาติที่ *รู้* อารมณ์นี่ล่ะที่หลวงพ่อกับครูบาอาจารย์รุ่นเก่าเรียกว่า *จิต คือ ผู้รู้* ทำไมเรียกว่าจิตคือ *ผู้รู้* เพราะจิต คือ ธรรมชาติที่ *รู้อารมณ์*


รู้เวทนาทางใจ
รู้สังขาร ความปรุงดีปรุงชั่ว
การเห็นจิตเกิดดับทางอายตนะ ถ้าเราดูจิตดูใจชำนิชำนาญขึ้น มันจะก้าวขึ้นไปสู่การเห็นจิตเกิดดับทางอายตนะ


เราจะเห็นเลย จิตที่เป็นผู้รู้มันก็อันหนึ่ง จิตที่เห็นรูปมันก็เป็นอีกดวงหนึ่ง มันดับไปพร้อมกับการดูรูป จิตที่ฟังเสียงมันก็เป็นอีกดวงหนึ่ง คนละดวงกัน เราจะเห็นว่าจิตที่ดูรูป จิตที่ฟังเสียง จิตที่ดมกลิ่น จิตที่ลิ้มรส จิตที่รู้สัมผัสทางกาย จิตที่รู้ธรรมารมณ์ทางใจ มันคนละดวงกัน


จิตที่รู้ธรรมารมณ์ทางใจก็คือมีจิตสุข จิตทุกข์ จิตเฉยๆ จิตดี จิตชั่วทั้งหลาย จิตไม่ดีไม่ชั่วทั้งหลาย


ถ้าวางจิตได้ตัวเดียว ก็วางหมดเลย ขันธ์ 5 ถ้าเห็นจิตดวงเดียวนี่ล่ะว่าไม่ใช่ตัวเรา ขันธ์ 5 ทั้งหมดจะไม่ใช่ตัวเรา โลกทั้งโลกจะไม่ใช่ตัวเรา ถ้าเห็นว่าจิตเป็นไตรลักษณ์ตัวเดียว ก็จะเห็นขันธ์ 5 เป็นไตรลักษณ์ เห็นโลกเป็นไตรลักษณ์ ฉะนั้นจิตมันเลยเป็นใหญ่ เป็นหัวหน้า เป็นประธานในธรรมะทั้งปวง


ขอยกคำสอนหลวงปู่ดุลย์ เรื่องการดูจิตเป็นการปฏิบัติที่ลัดสั้นที่สุด

ดูจิต คำสอนหลวงพ่อดุลย์
*ให้รู้ไป จิตสุขก็รู้ จิตทุกข์ก็รู้ จิตเฉยๆ ก็รู้ แล้วต่อไปก็เห็นจิตดีก็รู้ จิตชั่วก็รู้ จิตไม่ดีไม่ชั่วก็รู้ แล้วละเอียดประณีตขึ้นไปก็จะเห็นจิตเกิดที่ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ เกิดแล้วก็ดับ เกิดที่ไหน ดับที่นั่น* “จิตไม่มีที่ตั้ง” จิตเกิดตรงไหน จิตก็ดับตรงนั้นล่ะ จิตเกิดที่ตา ก็ดับที่ตา ไม่ต้องเอาตั้งไว้ที่ตาตลอด จิตเกิดที่หู ก็ดับที่หู ไม่ต้องเอาจิตไปตั้งไว้ที่หูตลอด จิตเกิดที่ใจ แล้วก็ดับที่ใจ ไม่ต้องเอาจิตไปจ้องอยู่ที่ใจตลอด นี่ดูไปเรื่อยๆ มันค่อยๆ เข้าใจเป็นลำดับไป



ผู้ใดชอบติดตามคะ

ครู Ami & อ.อมรรัตน์

25 - 6

Ami & Joe Happy TV
Posted 9 months ago

สวัสดีเพื่อนๆ ทุกท่าน
ติดตามการไฟล์สด ตลอดปี 2567 ( 2024) จะแบ่งปัน มิติ 5D กับ จิตวิญญาณ มิติแห่งพลังงาน หรือมิติแห่งตัวตนระดับสูง กับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ยุคควอนตัมมาแบ่งปัน

สรุปเนื้อหาย่อๆ ที่จะนำมาแบ่งปัน ปี 2567

ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงหากคุณเข้าใจ เปลี่ยนแปลงสภาวะจิต ยกจิตใจให้สูงขึ้น อยู่เหนือความคิดความรู้สึกของตนเอง สภาวะเหนือขันธ์ จะแบ่งปันทั้งทฤษฎี และวิธีปฏิบัติ เปรียบเทียบ ระหว่าง จิตวิญญาณ กับ วิทยาศาสตร์ และหลักปฏิบัติให้ชีวิตตื่นรู้ทั้งปัญญาทางโลกสมัยใหม่ และปัญญาทางธรรมภายใน (ธรรมชาติ)

มิติที่ 5D เป็นแนวคิดที่มีมานานหลายปี เป็นทฤษฎี *ควอนตัม* มิติแห่งจิตปัจจุบัน รู้ตัวทุกขณะ อยู่กับความเป็นอิสระ **ว่าง**

*จิตวิญญาณหรือจิตเดิมแท้* คือ "ผู้รู้" สิ่งที่ทำหน้าที่ *รู้หรือรับรู้* ดังนั้น จิต คือ ตัวรับรู้กิริยาข้อความหรือรับรู้สภาวะทั้งภายในภายนอก โดยหลวงพ่อพุธ ฐานิโยได้เทศไว้ตอนหนึ่ง ว่าจิต คือ ผู้รู้ และหลวงพ่อชา สุภัทโทท่านได้เคยเทศสอนอธิบายหลักการทำงานของจิตว่า จิตก็ คือ *ตัวรู้สึก ตัวรู้ภายใน* รู้สึกเมื่อไรก็เห็นจิต

*พุทธะ* คือ สภาวะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน การที่เราจะเข้าถึงพุทธะได้ สิ่งเดียวเท่านั้น คือ *สติ* เมื่อไรเรามีสติ เราก็เห็น *จิต* ฉะนั้น ตัวสตินี่แหละที่เรียกว่า *พุทธะ* สติตัวกำหนดเห็นสัจธรรมอันแท้จริง สติมีกำลังจึงเห็น *ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน* โดยหลวงพ่อพุธท่านได้อธิบายไว้ ว่า "สติ" คือ "พุทธะ"


หลักการทฤษฏีควอนตัม เป็นการศึกษาพลังงานต้นกำเนินสิ่งที่เล็กยิ่งกว่าอะตอม ระบบวิทยาศาตร์สมัยใหม่วิจัยให้ความเชื่อที่มุ่งเน้นในการเพิ่มการสั่นสะเทือนและเคลื่อนไปสู่ความถี่ที่สูงขึ้นเพื่อบรรลุการ *ตรัสรู้* หรือ เรียกกันว่า *สัจธรรม*

คำว่า *ธรรม* จริงๆ แล้วสรุปสั้น คือ การเข้าสู่จิตอันเป็นธรรมชาติ เข้าใจสัจธรรมซึ่งเป็นธรรมชาติอันแท้ มองด้วยตาในเห็นทุกสิ่งล้วนแล้วเป็นธรรม (สิ่งเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ กฎสัจธรรม) ซึ่งสามารถทำได้โดยการฝึกสมาธิ การไตร่ตรองตนเอง และดำเนินชีวิตด้วยตัวตนระดับสูง คือ การเข้าสู่ 'จิตวิญญาณ'


เราทุกคนมีสิ่งวิเศษ จิตอันบริสุทธิ์ การเข้าถึงมิติที่ 5D คือการกลับบ้านเก่า คืนสู่จิตต้นกำเนินซึ่งเป็นธาตุแท้
การเดินทางกลับบ้านสู่มิติ 5D ทำได้อย่างไร?


สิ่งแรกในการเข้าถึงมิติที่ 5 คือการเพิ่มการสั่นสะเทือนของคุณ

มิติที่ 5 คือ สถานที่แห่งจิตสำนึกอันบริสุทธิ์ สติปัจจุบัน สติ คือพุทธะในตัวคุณ

เมื่อไรคุณมีสติ นั้นแหละคุณกำลังเดินทางกลับบ้านของคุณแล้ว เป็นสถานที่ที่คุณไม่มีความคิดหรืออารมณ์ ปราศจากการยึดมั่นถือมั่น ไร้อัตตา (อยู่เหนือขันธ์ 5)


มันเป็นสถานที่ที่ต้นกำเนินของคุณ ซึ่งหมายความว่า คุณต้องกำจัดสิ่งขัดขวางภายใน (ความคิด) อย่างน้อยก็ชั่วคราว ซึ่งค่อนข้างยุ่งยากสำหรับผู้ไม่เคยฝึกจิตให้อิสระ เราจำเป็นต้องฝึกฝนบ่อยๆ ให้เกิดความเคยชิน สร้างอุปนิสัย แบบอัตโนมัติให้กับจิต


เส้นทางการฝึก มีหลายสิ่งที่คุณสามารถทำได้ เพื่อช่วยเพิ่มการสั่นสะเทือนและเคลื่อนเข้าสู่มิติที่ 5:


ชาวพุทธเราสอนกันอยู่แล้ว เส้นทางการทำสมาธิ สู่มิติพลังงาน ทางกลับบ้านเก่า มิติ 5D


วิธีการฝึกสมาธิ การทำสมาธิเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการชะลอความคิดของคุณ และช่วยให้คุณสัมผัสกับตัวตนที่แท้จริงของคุณ เป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการเริ่มต้นกำจัดความคิดและอารมณ์ และพาคุณไปสู่ทางที่จะเพิ่มความสั่นสะเทือน


การทำสมาธิเป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการติดต่อกับมิติที่ 5 แต่ไม่ใช่วิธีเดียวเท่านั้น


การทำสมาธินั้นยอดเยี่ยม ไม่ว่าคุณจะต้องการเข้าถึงมิติที่ 5 หรือเพียงแค่ยกระดับชีวิตของคุณเอง
คุณจะเห็นถึงความมหัศจรรยของสมาธิ คุณจะปล่อยให้ตัวเองได้สัมผัสกับตัวตนที่แท้จริงของคุณ


ติดตามได้คะ ระหว่างเวลา 21.30 -22.30 น. (เวลากลางคืนไทย) ทุกวันจันทร์ , พธ ,ศุกร์ และ อาทิตย์ บางวันอาจเปลี่ยนแปลงเร็วบ้างช้าบ้าง หรือช่วงเช้า จะมีไลฟ์สดทุกเวลาดังกล่าว (ยกเว้นติดภาระกิจ)

ความรู้ทางโลก ความรู้ทางจิตวิญญาณมิติที่สูงขึ้น และลงมือปฏิบัติให้เกิดขึ้นในจิต ปลดปล่อยจิตให้อิสระสู่ธรรมชาติ

ครู Ami

27 - 2