Channel Avatar

Ami & Joe Happy TV @UCDpsrnM39iHrNGI7ruNyY-A@youtube.com

86K subscribers - no pronouns :c

พากินพาเที่ยว ชีวิตต่างแดน USA


Welcoem to posts!!

in the future - u will be able to do some more stuff here,,,!! like pat catgirl- i mean um yeah... for now u can only see others's posts :c

Ami & Joe Happy TV
Posted 3 days ago

สมาธิลัดสั้นเรกิ เปิดตาที่ 3 ต่อมไพเนียล จูนจิตมหาปัญญา ฝึกจิตวิญญาณ Higher Self

https://youtu.be/TI29Hz9zl3Y

ตาที่สาม หรือ ตาทิพย์ แท้จริงคืออะไร และอยู่ตรงไหน

ตาที่สามเป็นตาภายในที่ทำให้เห็นสิ่งเหนือปกติวิสัยแสดงถึงการรับรู้ระดับสูงในทางจิตวิญญาณ และเป็นสัญลักษณ์ของการรู้แจ้ง รวมถึงการหยั่งรู้พิเศษ เช่น การเห็นนิมิต ตาทิพย์ รู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ล่วงหน้า

อาชญาจักระ หรือ ตาที่สามเป็นจักระแห่งจิต คือดวงตาแห่งพุทธิปัญญา

ตาที่สาม หรือ Third Eye เป็นคำที่ผู้สนใจฝึกสมาธิทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศคุ้นเคยกันพอสมควร เป็นเวลานานที่นักวิทยาศาสตร์ พยายามค้นหาความจริงเกี่ยวกับตาที่สามนี้ว่าอยู่ส่วนไหนในสมองและมีหน้าที่อย่างไร

โดยปกติดวงตาของเราจะส่งภาพกลับหัว จากบนเป็นล่าง ส่งไปยังสมอง ซึ่งสมองจะประมวลผลและทำให้เราเห็นภาพในลักษณะปกติที่ถูกต้อง

นอกจากดวงตาปกติแล้ว มนุษย์ยังมีอวัยวะอีกอย่างที่รู้จักกัน ในชื่อ ของดวงตาที่สาม หรือ ต่อมไพนีล ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นพลังมหัศจรรย์ หรือตาทิพย์ เป็นดวงตาภายใน

ต่อมไพนีล Pineal Gland มีขนาดเท่าเม็ดถั่ว และอยู่ตรงกลางของสมอง หลังดวงตาปกติ อยู่ข้างหลังเยื้องด้านบนจากต่อมปิตูอิตารี่ ( pituitary ) บางคนได้เทียบตำแหน่งกลางสมองนี้ว่าคล้ายคลึงกับตำแหน่งศูนย์กลางของปิรามิด ซึ่งเป็นจุดรวมแห่งพลังงาน ที่กล่าวกันว่าเหนือธรรมชาติ

นักปราชญ์กรีกโบราณเชื่อว่า ต่อมไพนีล เป็นจุดเชื่อมต่อกับอาณาจักรแห่งความคิด บางคนเรียกว่า ที่สถิตของจิตวิญญาณ ต่อมไพนีลนี้จะถูกกระตุ้นโดยแสงสว่าง และต่อมนี้ควบคุมระบบร่างกาย ( Biorhythm) หลายอย่าง โดยทำงานร่วมกับต่อมไฮโปทารามัส ( hypothalamus) ซึ่งต่อมไฮโปทารามัส ส่งผลโดยตรงกับร่างกายในเรื่อง ความหิว ความกระหาย เรื่องเซ็กส์ และนาฬิกาชีวิตซึ่งควบคุมอายุของมนุษย์

เมื่อต่อมไพนีลถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา จะรู้สึกถึงความกดดันที่ใต้สมอง ( ความกดดันเหมือนในลักษณะที่อยู่ใต้คลื่นความถี่สูง) การกระทบกระเทือน ที่ศีรษะบางครั้งก็เป็นสาเหตุกระตุ้นให้ต่อมไพนีลตื่นขึ้นได้

ถึงแม้ในอดีตจะยังไม่สามารถค้นคว้าพิสูจน์เกี่ยวกับต่อมไพนีล เพิ่งจะมาทราบในสมัยปัจจุบันไม่นานนัก แต่ในสมัยนั้นก็เชื่อกันว่า เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกแห่งวัตถุและโลกแห่งวิญญาณ และเป็นจุดสำคัญในการเริ่มต้นของพลัง เหนือธรรมชาติในมนุษย์ทำให้มองเห็นเหนือกว่าคนทั่วไปได้

การทำสมาธิส่งผลถึงสมอง การแสดงออกและอารมณ์ให้พัฒนาในด้านดี

อวัยวะในสมอง มีลักษณะของไฟฟ้าเคมี คือ ใช้พลังงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการทำงานและส่งกระแสพลังงานออกมาเป็นคลื่นสมองใน 4 คลื่นความถี่จากมากไปน้อยคือ Beta Alpha Theta Delta

เมื่อเราเริ่มทำสมาธิจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของคลื่นสมองให้มีความถี่คลื่นลดลงจากภาวะปกติ เบต้า ลดลงสู่อัลฟรา และเข้าสู่เธต้า ในภาวะคลื่นสมองเข้าสู่ระดับเธต้านั้นเป็นภาวะที่เกิดความอัศจรรย์ทางจิต เช่น การเห็นภาพต่างๆ การเกิดจิตออกจากร่างกาย การเกิดพลังจิตพิเศษต่างๆที่เมืองนอกเรียกว่า ESP ซึ่งการควบคุมคลื่นสมองเข้ามาในระดับนี้โดยปกติต้องได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี

ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ neuroscientist ได้ใช้เทคนิคใหม่ๆในการค้นคว้าความเกี่ยวเนื่องของสมอง และการทำสมาธิที่ส่งผลให้จิตใจ มีความสุขและมีอารมณ์ในด้านดี

University of Wisconsin at Madison ได้ค้นคว้า ตรวจสอบจากผู้ฝึกสมาธิตามแนวพุทธศาสนาพบว่า สมองมีการพัฒนา ในบางส่วนเป็นพิเศษ ซึ่งสมองส่วนที่พัฒนานี้เป็นส่วนที่มีผลกับ อารมณ์ด้านดี การควบคุมตัวเองและอารมณ์

University of California San Francisco Medical Center แนะนำว่า การทำสมาธิสามารถควบคุมสมอง ส่วนที่ทำให้เกิด ความกลัวได้ และพบว่า คนที่นับถือและปฏิบัติตามแนวศาสนาพุทธจะมีความกลัว ความตกใจ ความโกรธ น้อยกว่าคนทั่วไป

แอนดรู นิวเบอร์ก radiologist at the University of Pennsylvania ทำการวิจัยกับนักบวชธิเบต โดย

1.ให้นักบวชเข้าสมาธิประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อให้เข้าสู่สมาธิขั้นลึกแล้วจึงฉีดสารกัมมันตภาพรังสีจำนวนเล็กน้อยเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้สามารถตรวจวัดได้ว่าขณะทำสมาธินั้นส่วนไหนของสมองที่ทำงาน

2.ตรวจแบบเดียวกันแต่เป็นในขณะที่ทำงานปกติ ไม่ได้ทำสมาธิ เมื่อนำมาเปรียบเทียบพบว่า ขระทำสมาธิ สมองส่วนหน้าจะมีการทำงาน มากเป็นพิเศษ และสมองส่วนหลังทำงานน้อยลง ( parietal lobe) ทำให้รู้สึกถึงความว่าง ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่า ทำไมเวลาทำสมาธิ จึงเกิดการรู้สึกสัมผัสน้อยลง และเกิดการรับรู้น้อยลงในเรื่องสถานที่และเวลา

แหล่งที่มาบทความ novabizz.com

13 - 0

Ami & Joe Happy TV
Posted 3 days ago

ดูจิตตนเอง วินาทีจิตบรรลุธรรม เจอจิตเดิมแท้ เสียงธรรม หลวงพ่อเยื่อน ขนุติพโล

https://youtu.be/nbtAB_dRiAM

การดูจิตดูใจ

ฝึกจิตให้ทำ 2 อันนี้ *เจริญสติ กับ เจริญปัญญา* มีสติคอยระลึกรู้สภาวธรรมไป สิ่งที่เรียกว่าสภาวธรรม ก็คือ รูปธรรม นามธรรม สภาวธรรมอีกชนิดหนึ่งคือนิพพาน ทำทั้ง 2 อย่างนี้ จะเห็นสัจธรรม อริยสัจ 4 ท่องแท้

สรุปสิ่งที่เรียกว่าสภาวธรรม มี 4 อย่าง
1.มีจิต
2.เจตสิก
3.รูป
4.แล้วก็นิพพาน

ทำไมเริ่มจากจิตก่อน เพราะในสภาวธรรมทั้งหลาย จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธานในธรรมทั้งปวง ฉะนั้นเราเรียนรู้จิตของเราให้ดี เราจะได้ทั้งสติ ได้ทั้งสมาธิ พอมีสติ มีสมาธิแล้ว ไม่ต้องห่วงเรื่องปัญญา แค่มีสติที่ถูกต้อง มีสมาธิที่ถูกต้องบ่อยๆ เดี๋ยวปัญญามันก็เกิด ปัญญามีสัมมาสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิด ส่วนตัวสตินั้นมีการจำสภาวะได้แม่นเป็นเหตุใกล้ให้เกิด เราหัดดูสภาวะบ่อยๆ สภาวะอันแรกคือจิตนั่นเอง จิตมันไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวโดดๆ เวลาที่จิตที่เกิดขึ้นทุกครั้งจะมีเจตสิกจำนวนมากเกิดร่วมกับจิต

เจตสิก
สิ่งที่เรียกว่าเจตสิกมี 3 กลุ่ม
1.มีเวทนา ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์
2.สัญญา ความจำได้ ความหมายรู้
3.สังขาร ความปรุงดี ความปรุงชั่ว ปรุงไม่ดีไม่ชั่ว
ทั้งหมดนี้เรียกว่าเจตสิก จิตโดยตัวของมันเองไม่ดีไม่เลว มันเป็นสภาวะที่เป็นกลางๆ มันเข้าได้กับเจตสิกทั้งที่ดี ทั้งที่เลว ฉะนั้นโดยตัวจิตเองมันผ่องใส มันประภัสสร

จิตโดยตัวของมันเองเป็นกลางๆ มันจะสุขหรือมันจะทุกข์ก็เพราะเวทนาที่มาเกิดร่วมกับมัน แล้วมันจะดีหรือมันจะชั่วก็เพราะสังขาร เป็นเจตสิกอีกชนิดหนึ่ง

เจตสิกมี 3 อย่าง มีเวทนา สัญญา สังขาร ฉะนั้นมันจะดีหรือมันจะชั่ว ไม่ใช่ที่ตัวมันเอง ตัวจิตมันไม่ดีไม่ชั่ว ความโกรธมาเกิดร่วมกับจิตดวงนี้ เราก็เลยรู้สึกจิตโกรธ ที่จริงจิตไม่เคยโกรธหรอก ที่โกรธไม่ใช่จิต

อย่างเวลาเราภาวนา เราเห็นจิตมันโกรธๆ อันนี้เรายังแยกขันธ์ไม่เก่ง ถ้าเราแยกขันธ์เก่ง เราจะเห็นเลย จิตเป็นคนรู้ว่าโกรธ
ความโกรธเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ไม่ใช่จิต มันเป็นเจตสิกชนิดสังขาร สังขารขันธ์ จิตมันโลภ เรารู้สึกจิตมันโลภ

แต่ถ้าจิตเราภาวนาเก่งๆ จิตมันตั้งมั่นเป็น **ผู้รู้ผู้ดู*** มันจะเห็นว่าความโลภไม่ใช่จิตหรอก เป็นสิ่งที่แทรกเข้ามาในจิต เรียกว่าเป็นเจตสิก

เวลามันฟุ้งซ่าน จิตไม่ได้ฟุ้งซ่าน จิตเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ เป็นกลางๆ ที่มันฟุ้งซ่านได้ เพราะมีเจตสิก คือความฟุ้งซ่านมาเกิดร่วมกับจิต จิตมันจะผันแปรไปต่างๆ นานาเพราะสิ่งที่มาเกิดร่วมกับมัน

เราหัดภาวนา เราค่อยๆ สังเกตไป จิตนั้นเป็นธรรมชาติที่ *รู้อารมณ์* ธรรมชาติที่ *รู้* อารมณ์นี่ล่ะที่หลวงพ่อกับครูบาอาจารย์รุ่นเก่าเรียกว่า *จิต คือ ผู้รู้* ทำไมเรียกว่าจิตคือ *ผู้รู้* เพราะจิต คือ ธรรมชาติที่ *รู้อารมณ์*

รู้เวทนาทางใจ
รู้สังขาร ความปรุงดีปรุงชั่ว

การเห็นจิตเกิดดับทางอายตนะ ถ้าเราดูจิตดูใจชำนิชำนาญขึ้น มันจะก้าวขึ้นไปสู่การเห็นจิตเกิดดับทางอายตนะ

เราจะเห็นเลย จิตที่เป็นผู้รู้มันก็อันหนึ่ง จิตที่เห็นรูปมันก็เป็นอีกดวงหนึ่ง มันดับไปพร้อมกับการดูรูป จิตที่ฟังเสียงมันก็เป็นอีกดวงหนึ่ง คนละดวงกัน เราจะเห็นว่าจิตที่ดูรูป จิตที่ฟังเสียง จิตที่ดมกลิ่น จิตที่ลิ้มรส จิตที่รู้สัมผัสทางกาย จิตที่รู้ธรรมารมณ์ทางใจ มันคนละดวงกัน

จิตที่รู้ธรรมารมณ์ทางใจก็คือมีจิตสุข จิตทุกข์ จิตเฉยๆ จิตดี จิตชั่วทั้งหลาย จิตไม่ดีไม่ชั่วทั้งหลาย

ถ้าวางจิตได้ตัวเดียว ก็วางหมดเลย ขันธ์ 5 ถ้าเห็นจิตดวงเดียวนี่ล่ะว่าไม่ใช่ตัวเรา ขันธ์ 5 ทั้งหมดจะไม่ใช่ตัวเรา โลกทั้งโลกจะไม่ใช่ตัวเรา ถ้าเห็นว่าจิตเป็นไตรลักษณ์ตัวเดียว ก็จะเห็นขันธ์ 5 เป็นไตรลักษณ์ เห็นโลกเป็นไตรลักษณ์ ฉะนั้นจิตมันเลยเป็นใหญ่ เป็นหัวหน้า เป็นประธานในธรรมะทั้งปวง

คำสอนหลวงปู่ดุลย์ เรื่องการดูจิตเป็นการปฏิบัติที่ลัดสั้นที่สุด

ดูจิต คำสอนหลวงปู่ดุลย์
*ให้รู้ไป จิตสุขก็รู้ จิตทุกข์ก็รู้ จิตเฉยๆ ก็รู้ แล้วต่อไปก็ เห็นจิตดีก็รู้ จิตชั่วก็รู้ จิตไม่ดีไม่ชั่วก็รู้ แล้วละเอียดประณีตขึ้นไปก็จะเห็นจิตเกิดที่ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ เกิดแล้วก็ดับ เกิดที่ไหน ดับที่นั่น* “จิตไม่มีที่ตั้ง” จิตเกิดตรงไหน จิตก็ดับตรงนั้นล่ะ จิตเกิดที่ตา ก็ดับที่ตา ไม่ต้องเอาตั้งไว้ที่ตาตลอด จิตเกิดที่หู ก็ดับที่หู ไม่ต้องเอาจิตไปตั้งไว้ที่หูตลอด จิตเกิดที่ใจ แล้วก็ดับที่ใจ ไม่ต้องเอาจิตไปจ้องอยู่ที่ใจตลอด นี่ดูไปเรื่อยๆ มันค่อยๆ เข้าใจเป็นลำดับไป

ที่มาข้อความ อ้างอิงจาก พ่อแม่ครูบาอาจาย์สายพระป่า หลวงปู่มั่น

70 - 2

Ami & Joe Happy TV
Posted 1 week ago

จิตละเอียด ระดับของฌาน 1-4 ฝึกอานาปานสติ รู้ลมหายใจ อุบายฝึกจิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

https://youtu.be/6FCV_ACYfjw

ฌาน มายถึง การเพ่งอารมณ์จนใจแน่วแน่เป็นอัปปนาสมาธิ ภาวะจิตสงบประณีต ซึ่งมีสมาธิเป็นองค์ธรรมหลัก

ฌานแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่
1.อารัมมณูปนิชฌาน การเพ่งอารมณ์ ได้แก่ สมาบัติ 8 คือ รูปฌาน 4 และอรูปฌาน 4
2.ลักขณูปนิชฌาน การเพ่งลักษณะ ได้แก่ วิปัสสนา มรรค ผล
2.1 วิปัสสนา ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะพินิจสังขารโดยไตรลักษณ์
2.2 มรรค ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะยังกิจแห่งวิปัสสนานั้นให้สำเร็จ
2.3 ผล ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะเพ่งนิพพาน อันมีลักษณะเป็น สุญญตะ อนิมิตตะ และอัปปณิหิตะ อย่างหนึ่ง และเพราะเห็นลักษณะอันเป็นสัจจภาวะของนิพพาน อย่างหนึ่ง

ฌาน 2 ประเภท
โดยทั่วไป เมื่อกล่าวถึงประเภทของฌาน มักแบ่งฌานออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ
1.รูปฌาน ฌานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์ ฌานที่เป็นรูปาวจร ได้แก่
1.1 ปฐมฌาน (ฌานที่ 1) ประกอบด้วย วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา
1.2 ทุติยฌาน (ฌานที่ 2) ประกอบด้วย ปิติ สุข เอกัคคตา
1.3 ตติยฌาน (ฌานที่ 3) ประกอบด้วย สุข เอกัคคตา
1.4 จตุตถฌาน (ฌานที่ 4) ประกอบด้วย อุเบกขา เอกัคคตา

2.อรูปฌาน ฌานมีอรูปธรรมเป็นอารมณ์ ฌานที่เป็นอรูปาวจร ได้แก่
2.1 อากาสานัญจายตนะ (มีความว่างเปล่าคืออากาสไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์)
2.2 วิญญาณัญจายตนะ (มีความว่างระดับนามธาตุคือความว่างในแบบที่อายตนะภายนอกและภายในไม่กระทบกันจนเกิดวิญญาณธาตุการรับรู้ขึ้นเป็นอารมณ์)
2.3 อากิญจัญญายตนะ (การไม่มีอะไรเลยเป็นอารมณ์)
2.4 เนวสัญญานาสัญญายตนะ (จะว่ามีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ คือแม้แต่อารมณ์ว่าไม่มีอะไรเลยก็ไม่มี)

เมื่อกล่าวสั้น ๆ ว่า "ฌาน 4" จะหมายถึง แค่รูปฌาน 4 และเมื่อกล่าวสั้น ๆ ว่า "ฌาน 8" จะหมายถึง รูปฌาน 4 กับ อรูปฌาน 4 แต่ตามหลักอภิธรรมโดยสภาวะ อรูปฌานทั้ง 4 ท่านจัดว่าเป็นเพียงจตุตถฌาน เพราะประกอบด้วย อุเบกขา เอกกัคคตา เช่นเดียวกับจตุตถฌานของรูปฌาน เพียงแต่มีอารมณ์ที่ละเอียดลึกซึ้งกว่า จึงแยกเรียกโดยบัญญัติว่าฌาน 8 เพื่อความเข้าใจ

สิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ในการเพ่งจนได้ฌาน ได้มีการรวบรวมไว้เรียกว่าสมถกรรมฐาน สิ่งที่ขวางกั้นจิต ไม่ให้เกิดฌาน คือ นิวรณ์

ฌานสมาบัติ
สมาบัติ เป็นภาวะสงบประณีตซึ่งพึ่งเข้าถึง มีหลายอย่าง เช่น ฌานสมาบัติ ผลสมาบัติ เป็นต้น สมาบัติที่กล่าวถึงบ่อยคือ ฌานสมาบัติ กล่าวคือ สมาบัติ 8 อันได้แก่ ฌาน 8 (รูปฌาน 4 กับ อรูปฌาน 4)

ในบางกรณี รูปฌาน 4 อาจถูกจำแนกใหม่ในรูปแบบของ ปัญจมฌาน เป็นการจำแนกตามแบบพระอภิธรรม เรียกว่า ปัญจกนัย การจำแนกตามแบบพระสูตร เรียกว่า จตุกนัย ที่ต้องจำแนกเป็นปัญจมฌาน เนื่องจากฌานลาภี (ผู้ได้ฌาน) มี 2 ประเภท คือ ติกขบุคคล (ผู้รู้เร็ว) และ มันทบุคคล (ผู้รู้ช้า)

อนุปุพพวิหารสมาบัติ 9 หมายถึง สมาบัติ 8 กับ นิโรธสมาบัติ

แหล่งที่มา วิกิพีเดีย
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). "พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์"
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). "พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม"

42 - 0

Ami & Joe Happy TV
Posted 1 week ago

ปัญญาสมาธิ สัมมาสมาธิ โดยหลวงพ่อพุธ ฐานิโย

https://www.youtube.com/watch?v=t8D07...

ศีล เป็นเครื่องข่มจิต ข่มที่ตัวจิตไม่ให้ตามใจกิเลส
สมาธิ เป็นเครื่องข่มกิเลส ไม่ให้มาเบียดเบียนจิตได้
ปัญญา เป็นเครื่องขุดรากถอนโคนกิเลส
ศีลไม่ดี สมาธิจะค่อยๆ เสื่อมไป

ด้วยปัญญา 3 ลักษณะ (ไตรเหตุปฏิสนธิ, วิปัสสนาปัญญา และปาริหาริกปัญญา)

ศีล สมาธิ และปัญญา แม้จะเกิดในขณะจิตเดียวหรือรับอารมณ์เดียวกัน แต่มีหน้าที่ต่างกัน เป็นคนละส่วนกัน ทั้งนี้ก็เพื่ออุดหนุนกัน เจริญเป็นทางแห่งวิสุทธิเพื่อการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนา อานุภาพแห่งความบริสุทธิ์ของศีล สมาธิ ปัญญา จะมีขีดจำกัดเฉพาะตัว ในวิสุทธิมรรคกล่าวถึงองค์คุณของศีล สมาธิ ปัญญา และขีดจำกัดในการอุดหนุนกันแยกเป็น 9 ประการ ได้แก่

1. สิกขา 3

2. ศาสนามีความงาม 3

3. อุปนิสัยแห่งคุณวิเศษ มีความเป็นผู้ได้วิชชา 3 เป็นต้น

4. การเว้นที่สุดโต่ง 2 อย่าง และการเสพข้อปฏิบัติสายกลาง

5. อุบายที่เป็นเครื่องพ้นจากคติมีอบาย

6. การละกิเลสด้วยอาการ 3

7. ธรรมอันเป็นปฏิบัติต่อกิเลส มีวิติกกมะ

8. การชำระสังกิเลส 3

9. เหตุแห่งความเป็นพระอริยบุคคล มีพระโสดาบัน

17 - 0

Ami & Joe Happy TV
Posted 2 weeks ago

ลาภสักการละ อาชีพนักบวช นักบวชอาชีพ โดยหลวงพ่อสมภพ โชติปัญโญ

https://youtu.be/WKMQaYigXV8

“ลาภสักการะ” จะเป็นที่รู้เข้าใจกันเป็นอันดีว่าหมายถึง ผลประโยชน์อันเกิดจากความนับถือเลื่อมใส บางทีก็หมายถึงผลประโยชน์ที่ได้รับอันเนื่องมาจากการได้อยู่ในสถานะนั้นๆ

สรุปความหมายสั้นๆ ในภาษาไทย “ลาภสักการะ” หมายถึงผลประโยชน์นั่นเอง

: คนใจมาร ปล่อยให้ลาภสักการนำไปสู่หายนะ

: คนใจพระ ใช้ลาภสักการนำไปสู่วิวัฒนา

โทษของลาภสักการะ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

เปรียบเหมือนต้นกล้วยเผล็ดผล ไม้ไผ่ออกขุย ไม้อ้อออกดอก แม่ม้าอัสดรตั้งครรภ์ เพื่อฆ่าตนเอง เพื่อความเสื่อม ฉันใด

ลาภสักการะและชื่อเสียงเกิดแก่เทวทัต เพื่อฆ่าตนเอง เพื่อความเสื่อม ฉันนั้นเหมือนกัน

ลาภสักการะและชื่อเสียง ทารุณ เผ็ดร้อน หยาบคาย เป็นอันตรายแก่การบรรลุธรรมอันเกษมจากโยคะ ซึ่งไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่า

ครั้นพระผู้มีพระภาคได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคำเป็นคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

ผลกล้วยฆ่าต้นกล้วย ขุยฆ่าไม้ไผ่ ดอกฆ่าไม้อ้อ ลูกฆ่าแม่ม้าอัสดร ฉันใด สักการะก็ฆ่าคนชั่ว ฉันนั้น

ลาภสักการะ และชื่อเสียง ทารุณ เผ็ดร้อน หยาบคาย เป็นอันตรายแก่การบรรลุธรรม
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ลาภยศสรรเสริญเงินทองอำนาจ เป็นอสรพิษร้าย เป็นสิ่งเลวร้ายต่อชีวิต ไม่เป็นสิ่งที่ดีเลย มันทำให้เพิ่มกิเลส อยากเสพสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้นมาติดยึดในเรื่องนั้นเรื่องนี้มากขึ้น ๆ จนสุดท้ายก็ทำชั่วได้ทุกเรื่อง เอาเงินไปเสพรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่เป็นภัย เอาไปทำชั่วได้ทุกเรื่องเลย อย่างนี้เป็นต้น

“ลาภสักการะ และชื่อเสียง ทารุณ เผ็ดร้อน หยาบคาย
เป็นอันตรายแก่การบรรลุธรรม อันเกษมจากโยคะ ซึ่งไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่า”

( เกษม คือ สุขที่สุด “โยคะ” หมายถึง กิเลสที่ร้อยรัดชีวิตอยู่ – ลาภสักการะและชื่อเสียง หมายถึง โลกธรรมทั้งหลาย คือ ชื่อเสียง ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจ ลาภยศ สรรเสริญต่าง ๆ )

สิ่งที่ดีที่สุด จะถูกขวางด้วยลาภสักการะและชื่อเสียง เพราะทารุณเผ็ดร้อนหยาบคายที่สุด

เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากได้ความทารุณเผ็ดร้อนหยาบคายที่สุด ให้ไปหาลาภสักการะชื่อเสียงให้มาก ๆ

หาไปเถอะในขณะที่ตัวเองยังไม่บรรลุธรรมนี่ มันจะขัดขวางการบรรลุธรรม เป็นอันตรายแก่การบรรลุธรรม เรียกว่าทุกข์ทรมานแสนสาหัสเลย

“เพราะฉะนั้นแล เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่าเราทั้งหลายจักละลาภสักการะและชื่อเสียงที่เกิดขึ้นแล้วเสีย และลาภสักการะและชื่อเสียงที่บังเกิดขึ้นแล้ว จักครอบงำจิตของเราทั้งหลาย ตั้งอยู่ไม่ได้”

คนจะมีอะไร หวงนี่ก็ทุกข์แล้ว หวงลาภสักการะชื่อเสียงนี่ก็ต้องรักษา กลัวมันจะหมดไป อยากได้มาก็ทุกข์ แค่นี้ก็ทุกข์ทั้งขึ้นทั้งล่องแล้ว หมดไปก็ทุกข์เข้าไปอีก โอ้แย่เลยมีแต่ทุกข์และทุกข์และทุกข์ สรุปแล้วก็มีแต่ทุกข์

แล้วทำให้คนอื่นลำบากขาดแคลนอีก ทุกข์อีก ต้องเบียดเบียนกันแย่งชิงกันก็ทุกข์ สารพัดทุกข์ แล้วคนในโลกอยากได้เยอะไหม อยากได้เยอะ จะแย่งกันเยอะไหม เยอะเลย รักษาลำบากไหม ลำบาก รักษาก็ลำบากแย่งกันก็ลำบาก เพราะใครก็อยากได้ใช่ไหม

มันต้องแย่งกัน ใช่ไหม ต้องทำร้ายกันไหม เบียดเบียนไหม เบียดเบียนกันทำร้ายกัน ทรมานไหม ทรมาน ก่อเวรก่อภัยอีก ได้มาก็ต้องมารักษาอีก เวรกรรมจริงๆ แล้วทำให้คนในโลกเดือดร้อนไหมล่ะได้มา คนในโลกขาดแคลนอีกเป็นบาปอีก

ดึงคนโลภมาอยู่ใกล้ตัวเองไหม ดึงคนไม่ซื่อสัตย์เข้ามาอีก คนที่เขาอยากได้อันนี้ เขาจะมาแบบกร่างๆเท่ห์ๆมาเลยหรือมาแบบตอแหลมา ตอแหลมาสิ ไม่ได้มาแบบกร่างๆนะ พวกมีอำนาจเหนือเรามา ก็มาแบบกร่างๆ แต่พวกไม่เหนือเป็นอย่างไร มาแบบเนียนๆ ถูกครับลูกพี่ดีครับเจ้านาย เผลอเมื่อไหร่ เสียบเลย โกงเลย ทำไม่ดีเลย อย่างนี้เป็นต้น

ลาภสักการสังยุตต์ – พระไตรปิฏก เล่มที่ 16

อ้างอิงที่มา
ปักกันตสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ ข้อที่ ๕๘๖-๕๙๑ หน้า ๒๓๗-๒๓๘

24 - 0

Ami & Joe Happy TV
Posted 2 weeks ago

ลมหายใจ ทางบรรลุธรรมชาตินี้ อานาปานสติ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

https://youtu.be/sadPffR4keQ

อานาปานสติ หมายถึง การมีความระลึกรู้ตัวในลมหายใจเข้าออก (อาน- : ลมหายใจเข้า + อปาน- : ลมหายใจออก + สติ : ความระลึก)

อานาปานสติเป็นได้ทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน บางคัมภีร์กล่าวว่าเป็นอารมณ์กรรมฐานของมหาบุรุษทั้งหลาย มีอยู่ 16 คู่ โดยเป็นกายานุปัสสนา 4 คู่ เป็นเวทนานุปัสสนา 4 คู่ เป็นจิตตานุปัสสนา 4 คู่ และเป็นธัมมานุปัสสนา 4 คู่

1.กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน

การกำหนดรู้ในอานาปานสติ ตั้งแต่ข้อ 1-4 เป็นการกำหนดรู้ภายในกาย จัดเรียกว่ากายานุปัสสนาสติปัฏฐาน

หายใจออก-เข้ายาวรู้
หายใจออก-เข้าสั้นรู้
หายใจออก-เข้า กำหนดกองลมที่กระทบในกายทั้งปวง
หายใจออก-เข้า เห็นกองลมทั้งปวงสงบก็รู้


เมื่อเจริญอานาปานสติ จนสัมปชัญญะทั้งสี่บริบูรณ์ก็จะเกิดสติสัมโพชฌงค์ขึ้นมา เมื่อศีลวิสุทธิเกิดขึ้นเพราะศรัทธาพละและปัญญาพละสมดุลกันก็จะเกิดธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์ขึ้นมา เมื่อจิตตวิสุทธิเกิดขึ้นเพราะวิริยะพละสมดุลกับสมาธิพละก็จะเกิดวิริยะสัมโพชฌงค์ขึ้น

2.เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ตั้งแต่ข้อ 5 - 8 สติเริ่มละเอียดจะจับชัดที่ความรู้สึกได้ชัดเจน จัดเรียกว่า เวทนานุปัสสนา จนสามารถแยกรูปนามออกจากกันได้ชัดเจน หรือ นามรูปปริทเฉทญาณ

หายใจออก-เข้า กำหนดรู้ในความรู้สึกปีติ เกิดขึ้นเมื่อบรรลุทุติยฌาน (ปีติสัมโพชฌงค์)
หายใจออก-เข้า กำหนดรู้ในความรู้สึกสุข เกิดขึ้นเมื่อบรรลุตติยฌาน
หายใจออก-เข้า กำหนดรู้ในจิตสังขารทั้งปวง
หายใจออก-เข้า กำหนดระงับจิตตสังขารทั้งปวง (ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์)

3.จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
งแต่ข้อ 9 - 12 สติเริ่มละเอียดจะจับชัดที่การรู้หรือที่อายตนะได้ดี อันเป็นวิญญาณขันธ์ได้ชัดเจน เรียกว่า จิตตานุปัสสนา จนสามารถเท่าทันในเหตุปัจจัยของรูปนามได้ชัดเจน หรือ นามรูปปัจจยปริคคหญาณ

หายใจออก-เข้า พิจารณาจิต
หายใจออก-เข้า จิตบันเทิงร่าเริงก็รู้
หายใจออก-เข้า จิตตั้งมั่นก็รู้ (สมาธิสัมโพชฌงค์)
หายใจออก-เข้า จักเปลื้องจิตก็รู้ (อุเบกขาสัมโพชฌงค์)

4.ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ตั้งแต่ข้อ 13 - 16 สติละเอียดมากจนพิจารณารูปนามเพราะปรากฏชัดอยู่ในธัมมารมณ์ (สิ่งที่เกิดขึ้นในใจหรือมนายตนะ มี 3 อย่าง คือ เวทนา สัญญา สังขาร ธรรมในความหมายนี้หมายเอาความนึกคิดซึ่งก็คือการพิจารณานั้นเอง) จัดเรียกว่า ธัมมานุปัสสนา พิจารณาเห็นว่ารูปนามเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์

หายใจออก - เข้า พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง (อนิจจัง) ในขันธ์ทั้ง 5 มีลมหายใจเป็นตัวแทนรูปขันธ์ จะพบเห็นสังขตลักษณะ (ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป) ในขันธ์ทั้งห้า (สมมสนญาณ อุทธยัพพยญาณ ภังคญาณ)
หายใจออก - เข้า พิจารณาโดยความคลายกำหนัดในรูปนาม เห็นรูปนามเป็นสิ่งไร้ค่า (ภยญาณ อาทีนวญาณ นิพพิทาญาณ)
หายใจออก - เข้า พิจารณาโดยไม่ยึดติดถือมั่นในรูปนามขันธ์ห้าว่าไม่ใช่ตัวตน เพราะเห็นความดับไปแห่งปฏิจจสมุปบาท (มุญจิตุกัมยตาญาณ ปฏิสังขาญาณ สังขารุเปกขาญาณ)
หายใจออก - เข้า พิจารณาสละคืนขันธ์ (สัจจานุโลมมิกญาณ โคตรภูญาณ (หรือวิทานะญาณ) มัคคญาณ ผลญาณ ปัจจเวกขณญาณ)

ศึกษาคำอธิบายอานาปานสติ 16 ฐานอย่างละเอียดจากพระไตรปิฎกโดยตรงที่พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค อานาปาณกถา [๔๐๑]- [๔๒๒]

ฟังเสียงธรรม หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ลิงค์ด้านล่าง

https://youtu.be/sadPffR4keQ

19 - 2

Ami & Joe Happy TV
Posted 2 weeks ago

ลักษณะจิต จิตเป็นพุทธะ จิตพระอรหันต์ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

https://youtu.be/FF9fuce-cZg

จิต เจตสิก และอารมณ์
ความเป็นไปของจิต เจตสิก และอารมณ์ ทั้ง ๓ อย่างนี้ อุปมาเหมือนหนึ่งกับช่างเขียนที่กําลังเขียนรูปภาพต่างๆ ลงบนผืนผ้า เมื่อยกจิต เจตสิก และอารมณ์ ทั้ง ๓ อย่างขึ้นมา เปรียบเทียบกันแล้วจิตเหมือนกับน้ำที่ถูกผสมกับสีต่างๆ เจตสิกเหมือนกับสีต่างๆ อารมณ์ คือ สิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตทั้งหลายเหมือนกับผืนผ้า พู่กันเหมือนกับทวารทั้ง ๖ มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นต้น ช่างเขียนเหมือนกับสัตว์ทั้งหลาย

"เจตสิก" และ "จิต"
เจตสิกและจิต จัดเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งของ"พระอภิธรรมปิฎก"ซึ่งมี ๔ เรื่องคือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน และจัดเป็นเรื่องสำคัญของพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่งด้วย และยังเป็นส่นหนึ่งของ "ขันธ์๕"
จิตและเจตสิกที่อิงอาศัยกันนี้ ถ้าเปรียบจิตเป็นน้ำ เจตสิกเป็นสีแดง ผสมกันเป็นน้ำแดง เมื่อผสมกันแล้วไม่สามารถแยกน้ำออกจากสีแดงได้ฉันใด จิตและเจตสิก ก็ไม่สามารถแยกออกจากกันเป็นอิสระได้ฉันนั้น
"เจตสิก" (อ่านว่า เจตะสิก) คือ สภาพที่เกิดกับจิต อาการหรือการแสดงออกของจิต จัดเป็นสมรรถนะของจิต มีลักษณะที่เกิดดับพร้อมกับจิต รับอารมณ์เดียวกับจิต มีวัตถุที่อาศัยเดียวกับจิต เป็นอาการที่ถูกจิตรู้ แยกโดยละเอียดแล้วมี ๕๒ ประการ จัดเป็นหมวดใหญ่ๆ ได้ ๓ หมวด คือ
๑. หมวดอัญญสมานาเจตสิก
๒. หมวดอกุศลเจตสิก
๓. หมวดโสภณเจตสิก

"จิต" พระพุทธศาสนาจำกัดความคำว่า จิต ไปในทาง ธาตุรู้ หรือ ธาตุคิด ที่มีกระบวนการเปลี่ยนแปลงไปตามองค์ประกอบหรือคุณภาพต่าง ๆ ที่เรียกว่า เจตสิก กระบวนการนี้ เกิดดับไปตามแต่ที่จิตจะเหนี่ยวสิ่งใดขึ้นมาจับไว้ จิตจึงเป็นความคิดที่เกิด ๆ ดับ ๆ ในอภิธรรมกล่าวว่ามี 89 หรือ 121 คุณลักษณะ มีลักษณะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ตามการปรุงแต่งของเจตสิก ส่วนใหญ่ใช้คู่กับคำว่า ใจ แต่คำว่าใจเมื่อประสมกับคำอื่นมักจะบ่งถึงสภาพความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่ง มากกว่าจะเป็นกระบวนการทางความคิดที่เกิดดับ ตัวอย่างเช่น เสียใจ บ่งสภาพความเศร้าโศก ดีใจบ่งสภาพความดียินดี ในที่นี้คำว่าใจจึงบอกถึงสภาพของสิ่งหนึ่ง ที่เป็นศูนย์กลางของความรู้สึก มากกว่าจะเป็นกระบวนการของความคิด เหมือนอย่างคำว่า จิต

ลักษณะของจิตมนุษย์ในทางสากล ด้านวิทยาศาสตร์


จิตใจ เป็นคำที่มีความหมายหลายๆด้านตามแนวคิดของกลุ่มนักจิตวิทยาต่าง ๆ ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงจิตใจตามวิเคราะห์ ฟรอยด์ (Freud) เชื่อว่าจิตของมนุษย์แบ่งเป็น 3 ระดับ (Three Leveis of Consciousness) เปรียบเทียบเสมือนก้อนน้ำแข็งลอยอยู่ในทะเล คือ



จิตสำนึก (Conscious) คือสภาวะที่มีสติ รู้ตัว รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่หรือกำลังจะทำอะไรรู้จักตัวเองว่าเป็นใคร ต้องการอะไร ทำอะไรอยู่ที่ไหน กำลังรู้สึกอย่างไรต่อสิ่งใด การแสดงอะไรออกไปที่แสดงไปตามหลักเหตุผลเปรียบได้กับส่วนของก้อนน้ำแข็งที่โผล่ผิวน้ำขึ้นมามีจำนวนน้อยมาก


จิตใต้สำนึก (Subconscious ) หรือ จิตก่อนสำนึก (Preconscious) คือสภาพที่ไม่รู้ตัวในบางขณะ เช่น กระดิกเท้า ผิวปาก ฮัมเพลงโดยไม่รู้ตัว ยิ้มคนเดียวโดยไม่รู้ตัว พูดอะไรออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ และประสบการณ์ต่างๆที่เก็บไว้ในรูปของความทรงจำ เช่น ความประทับใจในอดีต ถ้าไม่นึกถึงก็ไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าทบทวนเหตุการณ์ทีไรก็ทำให้เกิดปลื้มใจทุกที เปรียบได้กับส่วนของก้อนน้ำแข็งที่อยู่ใต้น้ำ


จิตไร้สำนึก (unconscious) เป็นส่วนของจิตที่ใหญ่ที่สุด และมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ และเป็นส่วนที่ไม่รู้สึกตัวเลย อาจมาจากเจ้าตัวพยายามเก็บกดเอาไว้ เช่น เกลียดครู หรือพยายามที่จะลืม แล้วในที่สุดก็ลืมๆไป ดูเหมือนไปจริงๆ แต่ที่จริงไม่ได้หายไปไหน ยังอยู่ในตัวลักษณะจิตไร้สำนึก และจะแสดงออกมาในรูปความฝัน การละเมอ เปรียบได้ส่วนของน้ำแข็งที่อยู่ใต้น้ำ

9 - 2

Ami & Joe Happy TV
Posted 2 weeks ago

ผู้เริ่มต้น รู้สึกอยู่ภายใน จิตภาวนา อธิษฐานจิตล้างใจ สติตั้งมั่น หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

ภาวนา ในความหมายของการ "ทำให้มี ทำให้เป็น ทำให้เกิดขึ้น"ซึ่งก็หมายถึงความชำนาญในทักษะใดๆนั่นเอง การทำสมาธิ และ 'การฝึกฝนทางจิตวิญญาณ

ในพระไตรปิฎกภาษาบาลี ภาวนา หมายถึง การพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นทุกด้าน การลงมือปฏิบัติจริง แบ่งออกเป็น 4 อย่าง ดังนี้:

1.กายภาวนา ( physical Development ) การพัฒนาร่างกาย พิจารณากาย

2.ศีลภาวนา ( Social Development ) การพัฒนาความประพฤติตัวในสังคม

3.จิตตภาวนา ( Emotional Development ) การพัฒนาจิตใจและอารมณ์

4.ปัญญาภาวนา ( Wisdom Development ) การพัฒนาปัญญาและความคิด

นอกจากนี้ ในพระไตรปิฎกการพัฒนาด้าน สมถ-วิปัสสนา ได้รับการยกย่อง ทำให้อาจารย์เถรวาทสอนด้วยคำประสมนี้:

สมถภาวนา, หมายถึง การอบรมจิตใจให้สงบ
วิปัสสนาภาวนา, หมายถึง การอบรมปัญญาให้เกิด

ภาวนาเป็นบุญอย่างหนึ่ง เรียกว่า ภาวนามัย คือ บุญที่เกิดจากการภาวนา

ฟังเสียงธรรม คำสอนหลวงพ่อพุธ ฐานิโย การฝึกจิตภาวนา

https://youtu.be/AgPFYe4Ide0

13 - 0

Ami & Joe Happy TV
Posted 2 weeks ago

พุทธพยากรณ์ พระศรีอริยเมตไตรยหรือพระเมตไตรยหรือที่นิยมเรียกว่า พระศรีอาริย์ เป็นพระโพธิสัตว์ผู้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 5 และองค์สุดท้ายแห่งภัทรกัปนี้

พุทธศาสนิกชนเชื่อว่าเมื่อศาสนาของพระโคตมพุทธเจ้าสิ้นสุดไปแล้ว โลกจะล่วงเข้าสู่ยุคแห่งความเสื่อมถอย อายุขัยของมนุษย์ลดลงจนเหลือ 10 ปี ก็เข้าสู่ยุคมิคสัญญี ผู้สลดใจกับความชั่วก็หันมารวมกลุ่มกันทำความดี จากนั้นอายุขัยเพิ่มขึ้นถึง 1 อสงไขยปี แล้วจึงลดลงอีกจนเหลือ 80,000 ปี ในยุคนี้จะมีพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีครบ 80 อสงไขยแสนมหากัป ลงมาตรัสรู้เป็น พระเมตไตรยพุทธเจ้า

พุทธพยากรณ์เกี่ยวกับ พระศรีอริยเมตไตรย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม เหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้ เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ไปดีแล้ว รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม เหมือนตถาคตในบัดนี้ ทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตถาคตเองแล้ว สอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามอยู่ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้นจักทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิงเหมือนตถาคตในบัดนี้ แสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงบริหารภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัดนี้ฉะนั้นฯ


แหล่งอ้างอิง วิกีพีเดีย หลักฐานจากพระไตรปิฎกเล่มที่ 11 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 3 ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค จักกวัตติสูตรซึ่งเป็นพระไตรปิฎกของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท โดยถือกันว่ารักษาเนื้อหาได้สมบูรณ์ที่สุดในบรรดาทุกนิกาย

ตอนนี้ มีผู้คนให้การสนใจ ยุพระศีอริยเมตไตรยมาก มีหลายคนตั้งเป็นกลุ่มสอนสมาธิในรูปแบบที่แตกต่างกันไป โดยเฉพาะช่วงนี้มีผลการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ออกมาเยอะ

15 - 0

Ami & Joe Happy TV
Posted 3 weeks ago

สมาธิสายพลังงาน เรกิ เทคนิคฝึกเรกิจ จูนพลังสิ่งศักดิ์สิทธิ

เป็นเทคนิคเรกิที่สามารถใช้ร่วมกับการทําสมาธิได้:

1. การรักษาตัวเอง: เริ่มเซสชั่นการทําสมาธิของคุณโดยวางมือบนส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเริ่มจากศีรษะและเลื่อนลงไปที่เท้า ในขณะที่คุณจดจ่อกับลมหายใจและพลังงานที่ไหลผ่านมือ ให้นึกภาพพลังงานบําบัดที่เข้าสู่ร่างกายของคุณและปลดปล่อยความตึงเครียดหรือการอุดตัน

2. Chakra Balancing: จักระเป็นศูนย์กลางพลังงานในร่างกายที่อาจจะไม่สมดุลเนื่องจากความเครียดหรืออารมณ์เชิงลบ ในระหว่างการทําสมาธิ คุณสามารถใช้เรกิเพื่อปรับสมดุลจักระของคุณโดยวางมือบนจุดจักระแต่ละจุดและเห็นภาพพลังงานที่ไหลอย่างอิสระ สิ่งนี้สามารถช่วยฟื้นฟูความสามัคคีและส่งเสริมความรู้สึกเป็นอยู่ที่ดี

3. การล้างพลังงาน: ในการทําสมาธิ คุณยังสามารถใช้เรกิเพื่อล้างพลังงานที่หยุดนิ่งหรือพลังงานด้านลบออกจากออร่าของคุณ เริ่มต้นด้วยการจับมือของคุณให้ห่างจากร่างกายสองสามนิ้วและนึกภาพแสงสีขาวรอบตัวคุณ ขยับมือของคุณในการเคลื่อนไหวกวาดจินตนาการถึงแสงที่ดูดซับการปฏิเสธใด ๆ และแทนที่ด้วยพลังงานบวก

ด้วยการผสมผสานเทคนิคเรกิเหล่านี้เข้ากับการฝึกสมาธิ คุณจะสามารถผ่อนคลาย คลายความตึงเครียด และส่งเสริมความเป็นอยู่โดยรวมได้

อ่านเพิ่มเติมในบทความลิงค์ด้านล่าง
amiebook.blogspot.com/2025/02/blog-post_9.html

10 - 0