ทุกๆ คนชอบหนูสายพันธ์ไหนมากที่สุด | Which rat breed do you like the most?
https://youtu.be/c-h-JlsCN-E
0 - 0
20 มีนาคม – วันความสุขสากล International Day of Happiness
วันความสุขสากล ถูกกำหนดขึ้นโดยองค์การสหประชาชาติ (UN) เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2012 เพื่อให้วันที่ 20 มีนาคมของทุกปีเป็นวันที่ผู้คนทั่วโลกเฉลิมฉลองและตระหนักถึง “ความสุข” ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสให้รัฐบาลและองค์กรต่างๆ มุ่งเน้นนโยบายที่ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน
แนวคิดของวันความสุขสากลได้รับแรงบันดาลใจจาก ประเทศภูฏาน ซึ่งให้ความสำคัญกับ "ดัชนีมวลรวมความสุข" (Gross National Happiness - GNH) มากกว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจอย่าง "ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ" (Gross Domestic Product - GDP) โดยเน้นว่าคุณภาพชีวิตของประชาชน ไม่ได้วัดจากความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ต้องรวมถึงความเป็นอยู่ที่ดีทางด้านจิตใจ วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมด้วย
.
ไม่ว่าจะเป็นการดูแลตัวเอง เติมเต็มพลังใจ หรือแบ่งปันความสุขให้ผู้อื่น เพราะที่สุดแล้ว ความสุขที่แท้จริงเกิดจากความสมดุลทั้งทางกาย ใจ และสังคม
0 - 0
16 มีนาคม วันแพนด้า (National Panda Day)
16 มีนาคมของทุกปี วันแพนด้าสัตว์ที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศและเป็นสัญลักษณ์แห่งการอนุรักษ์สัตว์ป่า แพนด้ามีอยู่สองสายพันธุ์ ได้แก่ แพนด้ายักษ์ ซึ่งมีขนสีขาวดำ และ แพนด้าฉินหลิ่ง ซึ่งเป็นแพนด้าขนาดเล็กที่มีขนสีน้ำตาล ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1985 บริเวณเทือกเขาทางตอนใต้ของมณฑลส่านซี ประเทศจีน
ปัจจุบัน แพนด้ายักษ์ในธรรมชาติพบได้เฉพาะในพื้นที่ภูเขาที่ห่างไกลของประเทศจีน โดยก่อนหน้านี้แพนด้าถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ แต่เนื่องจากจำนวนประชากรแพนด้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในปี ค.ศ. 2019 สถานะของพวกมันถูกปรับเป็น สัตว์กลุ่มเสี่ยงสูญพันธุ์ (Vulnerable species) อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคาดว่ามีแพนด้าในธรรมชาติเหลืออยู่ไม่ถึง 2,000 ตัว โดยสาเหตุหลักมาจากการสูญเสียที่อยู่อาศัย การขยายพื้นที่เกษตรกรรม การล่าเพื่อเอาขน และปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย
แพนด้ามีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศของป่าไผ่ในประเทศจีน โดยช่วยกระจายเมล็ดพันธุ์ ซึ่งส่งผลให้เกิดการเติบโตของพืชใหม่ที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์และสัตว์ป่าอื่นๆ อย่างไรก็ตาม อัตราการเกิดของแพนด้าในธรรมชาติต่ำมาก เนื่องจากแพนด้าตัวเมียมีช่วงที่สามารถผสมพันธุ์ได้เพียง 2-3 วันต่อปี ทำให้การขยายพันธุ์ตามธรรมชาติเกิดขึ้นได้ยาก ปัจจุบันมีสวนสัตว์กว่า 27 แห่งทั่วโลก ที่ช่วยอนุรักษ์และสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการส่งเสริมการสืบพันธุ์ของแพนด้ายักษ์
แม้ว่า ต้นกำเนิดของวันแพนด้าแห่งชาติจะไม่เป็นที่แน่ชัด แต่คาดว่าถูกกำหนดขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักเกี่ยวกับความสำคัญของแพนด้าและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ชนิดนี้ ในปี ค.ศ. 1961 องค์กรกองทุนสัตว์ป่าโลก (WWF) ได้ก่อตั้งขึ้น และเลือกใช้ แพนด้า เป็นสัญลักษณ์ขององค์กร เนื่องจากเป็นสัตว์ที่มีความงดงาม ใกล้สูญพันธุ์ และเป็นที่รักของผู้คนทั่วโลก ตามคำกล่าวของ เซอร์ ปีเตอร์ สก็อตต์ (Sir Peter Scott) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง WWF
ในปี 2020 แพนด้าได้รับการจัดอันดับเป็นสัตว์กลุ่มเสี่ยงสูญพันธุ์แทนที่จะเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากความพยายามในการอนุรักษ์ เช่น โครงการปลูกป่า การรณรงค์เพื่อการอนุรักษ์ และโครงการเพาะพันธุ์แพนด้าในสวนสัตว์ อย่างไรก็ตาม นักวิชาการและรัฐบาลจีนยังคงถกเถียงกันเกี่ยวกับความคุ้มค่าของงบประมาณที่ใช้ในการอนุรักษ์แพนด้าและป่าธรรมชาติของพวกมัน
การอนุรักษ์ป่าไผ่และที่อยู่อาศัยของแพนด้าไม่ได้เป็นเพียงการปกป้องสัตว์ชนิดหนึ่งเท่านั้น แต่ยังช่วยรักษาสัตว์ป่าชนิดอื่นๆ ด้วย งานวิจัยของ Society for Conservation Biology ในปี 2015 ระบุว่า การอนุรักษ์พื้นที่ป่าของแพนด้าจะช่วยปกป้องนกป่า 70% สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 70% และสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกอีก 31% ของประเทศจีน
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: worldanimalprotection
: wwf .org
: wikipedia
1 - 0
วันปีใหม่ของชาวแอซเท็ก – 12 มีนาคม Aztec New Year
Aztec New Year พิธีศักดิ์สิทธิ์ที่เคยเปลี่ยนโชคชะตา กับอาหารประเภทห่อๆ เม็กซิกันที่น่ากิน
ลองจินตนาการถึงแผ่นดินในภูมิภาค เมโสอเมริกา (Mesoamerica) ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายของจักรวรรดิต่างๆ และหนึ่งในนั้นคือจักรวรรดิแอซเท็ก อาณาจักรอันเกรียงไกรที่มีความเชื่อลึกลับและพิธีกรรมที่น่าเกรงขาม และวันที่ 12 มีนาคมนี้คือวันขึ้นปีใหม่ของพวกเขา… "Aztec New Year" พิธีกรรมที่ถูกสืบทอดมาอย่างยาวนาน เต็มไปด้วยความหมาย ความเชื่อ และแรงศรัทธาที่ผูกพันกับธรรมชาติและจักรวาล
.
จักรวรรดิแอซเท็กเป็นหนึ่งในอารยธรรมโบราณที่มีระบบปฏิทินที่ซับซ้อนและแม่นยำมาก พวกเขาใช้ปฏิทินหลักสองระบบ คือ ปฏิทินศักดิ์สิทธิ์ หรือ "Tonalpohualli" (โท-นาล-โป-ฮวาล-ลิ) และ ปฏิทินสุริยคติ หรือ "Xiuhpohualli" (ซีว-โป-ฮวาล-ลิ)
Tonalpohualli - ปฏิทินศักดิ์สิทธิ์
- ปฏิทินนี้มี 260 วัน แบ่งเป็นรอบละ 20 วัน คูณกับ 13 รอบ (20 x 13 = 260 วัน)
- ใช้สำหรับกำหนดพิธีกรรมทางศาสนา การบูชาเทพเจ้า และการทำนายโชคชะตา
Xiuhpohualli - ปฏิทินสุริยคติ
- ปฏิทินนี้มี 365 วัน คล้ายกับปฏิทินสากลปัจจุบัน
- แบ่งเป็น 18 เดือน เดือนละ 20 วัน รวม 360 วัน และมีอีก 5 วันที่เรียกว่า “Nemontemi” (เน-มอน-เต-มี) ซึ่งเป็นวันอัปมงคล ไม่มีการทำกิจกรรมใดๆ เพื่อเตรียมต้อนรับปีใหม่
.
ทุกๆ 52 ปี ปฏิทินทั้งสองระบบจะกลับมาบรรจบกัน ถือเป็น “จุดเริ่มต้นใหม่” และในโอกาสนี้จะมีพิธีกรรมสำคัญที่เรียกว่า “พิธีผูกปี (New Fire Ceremony)” ซึ่งเป็นหัวใจของการเฉลิมฉลองปีใหม่ของแอซเท็ก
.
เมื่อถึงคืนสุดท้ายของปีเก่า ชาวแอซเท็กจะดับไฟทุกดวงในเมือง เรียกว่า "Extinguishing of Fires" ทำให้ทั้งอาณาจักรมืดสนิท นี่เป็นสัญลักษณ์ว่าพวกเขาได้ปล่อยวางสิ่งเก่า และเตรียมตัวเข้าสู่ยุคใหม่ หากเทพเจ้ายังคงเมตตา มนุษย์จะได้รับแสงสว่างใหม่อีกครั้ง
และจะมีการบูชายัญ ที่เรียกว่า "Sacrifice to the Gods" พิธีบูชายัญนี้ทำขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าดวงอาทิตย์จะกลับมาในวันรุ่งขึ้น ชาวแอซเท็กจะทำพิธีบูชายัญ ซึ่งอาจรวมถึงสัตว์ หรือในบางกรณี มนุษย์ที่ถูกคัดเลือกมาเป็นตัวแทนของเทพเจ้า
ชาวแอซเท็กนั้นให้ความเคารพเทพเจ้านามว่า "วีต-ซี-โล-โพชต์-ลี" (Huitzilopochtli) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งพระอาทิตย์ ด้วยความเชื่อที่ว่า ดวงอาทิตย์เคยมีอยู่ 5 ดวงด้วยกัน แต่ดวงอาทิตย์สูญสลายไปแล้ว 4 ดวง เหลือะเพียงดวงอาทิตย์ปัจจุบัน และถ้าสูญสลายไปอีก ชาวแอซเท็กก็จะต้องสูญสลายตามไป ดังนั้นพวกเขาจะต้องทำการบูชายัญด้วยเลือด เพื่อไม่ให้ดวงอาทิตย์สูญสลาย และการใช้มนุษย์บูชายัญ ยังเพื่อทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์อีกด้วย
และนี่เองที่นำไปสู่พิธีกรรมสุดสยอง ด้วยการควักหัวใจทั้งเป็น บนมหาพีระมิดเทมพลอ มายอร์ (Templo Mayor) ที่อยู่ใจกลางนครเตนอคทิตลัน (Tenochtitlan) อันเป็นเมืองหลวงของชาวแอซเท็ก
ขณะที่พิธีจุดไฟเริ่มขึ้น นักบวชจะนำคบเพลิงไปจุดที่ยอดพีระมิด แล้วนำไฟศักดิ์สิทธิ์นี้แจกจ่ายไปทั่วเมือง เป็นการประกาศว่า "แสงแห่งชีวิต" ได้กลับมาอีกครั้ง การเฉลิมฉลองก็จะเริ่มขึ้น ผู้คนจะเต้นรำ เล่นดนตรีตลอดทั้งคืน รวมทั้งกินอาหาร "Tamales" ซึ่งเป็นอาหารดั้งเดิมที่นิยมกินกันในวันปีใหม่
.
เรื่องราวที่สะท้อนถึงความเชื่อและวิถีชีวิตที่ขึ้นอยู่กับดวงอาทิตย์ ที่มีจุดเริ่มต้นจากยุคของการสร้างโลก ซึ่งตามตำนานของชาวแอซเท็ก โลกไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาเพียงครั้งเดียว แต่ผ่านการสร้างและทำลายมาถึง 4 ยุค ก่อนที่จะเข้าสู่ยุคที่ 5 ซึ่งเป็นยุคปัจจุบันของพวกเขา
แต่ละยุคมีดวงอาทิตย์ที่แตกต่างกัน และจบลงด้วยหายนะที่เกิดจากพลังแห่งธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นไฟ พายุ หรือสัตว์ร้าย และเพื่อให้ดวงอาทิตย์ในยุคปัจจุบันยังคงส่องแสงต่อไป พวกเขาเชื่อว่าต้องทำพิธีบูชายันต์เพื่อมอบพลังชีวิตแก่ดวงอาทิตย์ ไม่เช่นนั้น โลกก็อาจถึงคราวดับสูญอีกครั้ง
.
ดวงอาทิตย์ที่หนึ่ง (First Sun Nahui Ocelotl - Four Jaguar / นาฮุย โอเซล็อต - สี่เสือจากัวร์)
ในยุคแรกเริ่มของการสร้างโลก ท้องฟ้าถูกครอบงำโดยเทพเจ้าดำแห่งท้องฟ้า เทซกัตลิโพคา โลกในยุคนั้นเต็มไปด้วยความมืดมนและลึกลับ และผู้คนในยุคนั้นต้องใช้ชีวิตในความมืด ทว่าเสือจากัวร์ที่ร้ายกาจก็ได้ออกมาไล่ล่าผู้คน เสือจากัวร์เหล่านี้มีความโหดเหี้ยมและแข็งแกร่ง มันเฝ้าตามล่าและกินทุกคนที่อาศัยอยู่ในโลก การใช้ชีวิตในยุคนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและอันตราย และในที่สุดเมื่อเสือจากัวร์ทั้งหมดได้กินคนจนหมด ยุคแรกของดวงอาทิตย์จึงสิ้นสุดลงอย่างน่าสะพรึงกลัว
.
ดวงอาทิตย์ที่สอง (Second Sun Nahui Ehecatl - Four Wind / นาฮุย เอฮีกาต - สี่ลม)
หลังจากยุคแรกสิ้นสุดลง โลกเข้าสู่ยุคที่สองซึ่งถูกครอบงำโดยเทพเจ้าเควทซัลโคแอตล์ ในยุคนี้ โลกเริ่มมีสภาพอากาศที่รุนแรงและลมพายุที่พัดมาตลอดเวลา ลมพายุเหล่านี้มีความรุนแรงและพัดเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ผู้คนในยุคนี้ต้องดิ้นรนและต่อสู้กับลมพายุ แต่สุดท้ายลมพายุที่น่ากลัวก็ได้พัดเปลี่ยนผู้คนให้กลายเป็นลิง มนุษย์ที่เคยอาศัยอยู่บนโลกถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่าง และยุคที่สองของดวงอาทิตย์ก็จบลงอย่างโหดร้าย
.
ดวงอาทิตย์ที่สาม (Third Sun Nahui Quiahuitl - Four Rain / นาฮุย เควียวิทล์ - สี่ฝน)
ยุคที่สามของโลกถูกครอบงำโดยเทพเจ้าแห่งฝน เทลล็อค ในยุคนี้โลกได้พบกับสภาพอากาศที่แปลกประหลาดและน่ากลัว ฝนไฟที่รุนแรงได้กระหน่ำลงมา ฝนไฟนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างถูกทำลาย แต่ยังเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นนก สภาพอากาศในยุคนี้เต็มไปด้วยการเผาไหม้และน้ำท่วม ผู้คนต้องดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดในสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นธรรมชาติ แต่สุดท้ายยุคนี้ก็สิ้นสุดลงอย่างโหดร้าย ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเผาไหม้และน้ำท่วมจมหาย
.
ดวงอาทิตย์ที่สี่ (Fourth Sun Nahui Atl - Four Water / นาฮุย แอตล์ - สี่น้ำ)
ยุคที่สี่ โลกถูกครอบงำโดยเทพธิดาแห่งน้ำ ชาลชิวท์ลิกูยุค โลกในยุคนี้เต็มไปด้วยน้ำและความเขียวขจี คนที่อาศัยอยู่ในโลกยุคนี้ได้ใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์ แต่ทันทีที่น้ำท่วมใหญ่ได้เกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป น้ำท่วมใหญ่นี้ไม่เพียงแต่จะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ยังเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นปลา คนที่เคยเดินอยู่บนดินต้องเปลี่ยนไปเป็นสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ และยุคที่สี่ของดวงอาทิตย์ก็จบลงในน้ำท่วมใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกน้ำท่วมและไม่มีสิ่งใดรอดพ้น
.
ดวงอาทิตย์ที่ห้า (Fifth Sun Nahui Ollin - Four Movement / นาฮุย โอลลิน - สี่การเคลื่อนไหว)
ยุคสุดท้าย โลกได้เข้าสู่ยุคที่ห้าซึ่งเป็นยุคปัจจุบัน ยุคนี้ถูกครอบงำโดยเทพเจ้าดวงอาทิตย์ โตนาติอุ ในยุคนี้ชาวแอซเท็กเชื่อว่าโลกจะต้องเผชิญกับการทำลายล้างอีกครั้งโดยแผ่นดินไหวและความอดอยาก ผู้คนในยุคนี้ต้องเตรียมตัวและเผชิญกับความไม่แน่นอนของอนาคต เป็นยุคที่เต็มไปด้วยความกลัวและความหวัง ชาวแอซเท็กเชื่อว่ายุคนี้จะเป็นยุคสุดท้ายของดวงอาทิตย์ พวกเขาเชื่อว่าดวงอาทิตย์จะต้องต่อสู้และปกป้องโลกจากภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น
...
แม้อารยธรรมแอซเท็กจะล่มสลายไปนานแล้ว แต่ในเม็กซิโก โดยเฉพาะในรัฐฮาลิสโก (Jalisco) และเม็กซิโกซิตี้ ยังคงมีการเฉลิมฉลอง Aztec New Year อยู่ ซึ่งจะมีการเต้นรำพื้นเมืองที่เรียกว่า "Danza Azteca" ( ดาน-ซา แอซ-เต-กา) ซึ่งเป็นการแสดงที่ผสมผสานดนตรี กลอง และเครื่องแต่งกายโบราณ การจุดไฟเพื่อสื่อถึงการเริ่มต้นใหม่ และบูชาเทพเจ้า รวมทั้งการกินอาหารแบบดั้งเดิมอย่าง Tamales และ Atole (อะ-โต-เล่) ที่เป็น(เครื่องดื่มข้าวโพด) ก็ยังคงมีอยู่จนถึงทุกวันนี้
...
เมื่อพูดถึงอาหารแบบดั้งเดิม "Tamales" ที่แปลว่าการห่อ และมีหน้าตาคล้ายๆ ข้าวต้นมัด ซึ่งมีการพัฒนาสูตรมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ได้มาถึงยังเม็กซิโกในช่วงศตวรรษที่ 16 Tamales ก็ได้มีการปรับปรุงสูตรและเผยแพร่ไปทั่วภูมิภาค ต่อมาสเปนได้เดินทางมาถึง Tamales ก็ได้ถูกยกระดับขึ้น ด้วยวัตถุดิบ และเครื่องเทศใหม่ๆ อย่าง เนื้อหมู เนื้อวัว ชีส ผงยี่หร่า พริกป่น
...
Tamales เมื่อพูดถึงคำนี้ ก็คงหนีไม่พ้นอาหารประเภทห่อๆ ของเม็กซิกัน เรามาเริ่มต้นกันที่เมนู..
เมนูที่ 1. Enchiladas Suizas
อาหารเม็กซิกันยอดนิยมที่ประกอบด้วย enchiladas ราดด้วยซอสที่ทำจากนมหรือครีม เมนูแรกปรุงขึ้นในร้านอาหารชื่อ Sanborn ในเมืองเม็กซิโกซิตี้ ชื่อของเมนูนี้แปลได้ว่า enchiladas สไตล์สวิส เนื่องจากผู้อพยพชาวสวิสเป็นผู้แนะนำซอสที่ทำจากนมให้กับอาหารเม็กซิกัน
เมนูที่ 2. Salsa verde enchiladas
ซัลซ่าเวอร์เดเอนชิลาดาสเป็นอาหารเม็กซิกันที่ปรุงโดยนำซัลซ่าสีเขียวมาทาบนเอนชิลาดาส เอนชิลาดาสจะใส่ไส้ไก่ฉีก และซัลซ่าจะทำจากมะเขือเทศสีเขียวขนาดเล็ก พริกชี้ฟ้า ผักชี ผักชีฝรั่ง หัวหอม กระเทียม และออริกาโน โรยหน้าด้วยชีสขูด
เมนูที่ 3. Taquito
อาหารเม็กซิกัน-อเมริกัน ทำจากแป้งข้าวโพดทอดกรอบห่อด้วยส่วนผสมต่างๆ เช่น ไก่ฉีก เนื้อวัว ชีส และผัก
เมนูที่ 4. Mulita
บางครั้งมูลิต้าถูกเรียกว่า "quesadillas on steroids" อัดแน่นไปด้วยเนื้อย่างชิ้นๆ ชีส และซัลซ่าหรือกัวคาโมเล
เมนูที่ 5. Enchiladas de camaron
อาหารเม็กซิกันยอดนิยม ที่ทำจากแป้งตอติญ่าทอดไส้กุ้งและส่วนผสมต่างๆ เช่น ข้าวโพด หัวหอม พริก มะเขือเทศ ผักชี และชีสขูด
...
อาหารเม็กซิกันหาร้านกินใน กทม. ไม่อยาก เพื่อนๆ เคยกินเมนูไหนกันบ้าง และชอบเมนูห่อๆ แบบไหนกัน..ครับผม
...
: เพื่อนๆ เข้าดู Youtube ที่จะบอกเรื่องราวในแต่ละวัน (มีทุกวันนะ) ได้ที่ Youtube: @lookatevent หรือตามลิงค์นี้ครับผม
: youtube.com/@lookatevent
...
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: wikidates
: wikipedia
: worldhistoryedu
: mexicolore
: hbg .org
: tastingtable
: tasteatlas
.
LookAt - ปฏิทินแห่งเรื่องราว
0 - 0
วันแห่งการปรองดอง 16 ธันวาคม Day of Reconciliation
ทุกปีในวันที่ 16 ธันวาคม ประเทศแอฟริกาใต้จะเฉลิมฉลอง วันแห่งการปรองดอง เพื่อรักษาและเชื่อมช่องว่างระหว่างผู้คนที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้ วันที่พิเศษนี้เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1994 หลังจากที่ระบบการแบ่งแยกเชื้อชาติที่ดำรงอยู่ทั่วทั้งแอฟริกาใต้ภายใต้กฎหมายของพรรคชาติสิ้นสุดลง วันแห่งการปรองดองช่วยนำความสามัคคีมาสู่ภูมิภาคนี้ แม้จะผ่านความอยุติธรรมมาหลายทศวรรษ
.
วันแห่งการปรองดองเป็นเหมือนลมหายใจแห่งความสดชื่น หลังจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของประเทศที่ยังคงมีร่องรอยของการล่าอาณานิคมและการเหยียดเชื้อชาติ การกีดกันทางเชื้อชาติเป็นความจริงอันเลวร้ายในแอฟริกาใต้มาตั้งแต่ที่จักรวรรดิดัตช์ปกครองในปี ค.ศ. 1652 และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เมื่ออังกฤษเข้ายึดครองในปี ค.ศ. 1795 สถานการณ์เลวร้ายลงในปี ค.ศ. 1950 เมื่อการเป็นตัวแทนทางการเมืองของบุคคลที่ไม่ใช่คนผิวขาวถูกยกเลิก นโยบายการแบ่งแยกทางเชื้อชาติยิ่งฝังรากลึกมากขึ้น การกบฏรุนแรงหลายครั้งเกิดขึ้นและการค้ากับประเทศถูกคว่ำบาตร
วันนี้ได้รับเลือกให้เป็นวันปรองดอง เนื่องจากมีความสำคัญต่อทั้งชาวแอฟริกันและชาวแอฟริกันเนอร์ วันที่นี้เป็นวันที่มีการประท้วงต่อต้านการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในปี 1910 สำหรับชาวแอฟริกันเนอร์ วันที่นี้ยังเป็นวันแห่งพันธสัญญา ซึ่งเป็นวันหยุดทางศาสนาที่จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงชัยชนะของชาววูร์เทรคเกอร์เหนือชาวซูลูใน "ยุทธการเลือด" เมื่อปี 1838 นอกจากนี้ยังเป็นวันที่มีการจัดตั้ง "หอกแห่งชาติ" หรือที่รู้จักกันในแอฟริกาใต้ว่า Umkhonto we Sizwe
เนื่องจากแอฟริกาใต้ได้สถาปนาระบอบประชาธิปไตยขึ้น วันแห่งการปรองดองจึงได้รับการเฉลิมฉลองเป็นครั้งแรกในปี 1995 ในแต่ละปีจะมีการกำหนดธีมที่แตกต่างกัน ตัวอย่างธีมในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้แก่ “การสร้างสะพานเชื่อมสู่สังคมที่ไม่เหยียดเชื้อชาติ” “ปีของเนลสัน แมนเดลาและอัลเบอร์ตินา ซิสูลู: ผู้ปลดปล่อยเพื่อการปรองดอง” และ “การสร้างสะพานเชื่อมเป็นชาติแอฟริกาใต้ร่วมกันเพื่อก้าวไปสู่รัฐพัฒนาแห่งชาติ”
วันปรองดองแบบนี้มาดูเมนูที่ปรองดองกับพุงกัน จะให้ดีต้องซุปผักต่างๆ ที่น่ากินน่าอร่อยของแต่ละประเทศสินะ!
---
1. Czech pea soup (Hrachová polévka)
ซุปแบบดั้งเดิมของประเทศเช็กเกีย ทำจากถั่วลันเตาเขียว หรือถั่วลันเตาเหลือง ใส่น้ำซุปจากรากผักต่างๆ และเครื่องเทศอย่าง ยี่หร่าหรือมาร์จอแรม (marjoram) ใส่เนื้อรมควัน หรือครูตองกรอบ
2. Šaltibarščiai (Cold Beet Soup หรือ Chilled Beet Soup)
ซุปบีทรูทเย็น อาหารจากลิทัวเนีย ที่นำบีทรูทต้มผสมกับครีมและคีเฟอร์หรือบัตเตอร์มิลค์รสเปรี้ยว ราดบนแตงกวาขูดและไข่ลวก ปรุงรสด้วยผักชีลาว
3. Sopa Poblano
ซุปเม็กซิกันรมควันที่มีต้นกำเนิดจาก "Puebla" (เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของเม็กซิโก) ทำจากพริก Poblano คั่วเป็นส่วนผสมหลัก ปรุงด้วยเนย หัวหอม ต้นหอม กระเทียม มันฝรั่ง น้ำสต็อกไก่ และครีมเปรี้ยว
4. Sayur lodeh
ซายูร์โลเดห์เป็นอาหารอินโดนีเซียแบบดั้งเดิมที่ทำจากผักตุ๋นในกะทิ มะเขือยาว ขนุน เมล่อนโจ ถั่วฝักยาว แครอท หรือจะใส่ผักชนิดใดก็ได้ และเครื่องเทศ เมนูนี้มีต้นกำเนิดมาจากเกาะชวาของอินโดนีเซีย และมีในสิงคโปร์ และมาเลเซีย
5. Čorba od spanaća (Spinach Soup หรือ Spinach Stew)
ซุปแบบดั้งเดิมที่มีต้นกำเนิดจากเซอร์เบีย ปรุงด้วยไขมันหมู ผักโขม หัวหอม กระเทียม แป้ง น้ำ และนม
6. Caldo verde
ซุปยอดนิยมจากโปรตุเกส ทำจากมันฝรั่ง คะน้า น้ำมันมะกอก และเกลือ เสิร์ฟพร้อมไส้กรอก chorizo หั่นเป็ฯแว่นๆ
7. Kapuśniak (Cabbage Soup หรือ Sauerkraut Soup)
เมนูดั้งเดิมของโปแลนด์ ทำมาจากซาวเคราต์ มันฝรั่ง และผักราก Kapuśniak มีลักษณะคล้ายกับซุปซาวเคราต์ในยุโปร แต่ของโปแลนด์มักจะปรุงรสด้วยยี่หร่าและมาร์จอแรม (marjoram)
.
อากาศเริ่มเย็น ซุปอุ่นๆ สักชามกำลังดีครับผม
: มิตรภาพดีดี อาจเริ่มต้นได้ง่ายๆ ด้วยคำว่า "ฉันขอโทษนะ"
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: nationaltoday
: wikipedia
: tasteatlas
นามปากกานิทาน: YiiYee
.
LookAt
0 - 0
ใครเป็นผู้คิดค้นไอศกรีม?
การค้นหาผู้คิดค้นไอศกรีมที่แท้จริงนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวที่หลากหลาย บางแหล่งข้อมูลระบุว่าไอศกรีมถูกคิดค้นขึ้นในตะวันออกไกลและนำเข้ามาในยุโรปโดย มาร์โค โปโล (Marco Polo) ในขณะที่บางแห่งอ้างว่า แคทเธอรีน เดอ เมดิชิ (Catherine de Medici ราชินีแห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา) เป็นผู้แนะนำไอศกรีมในฝรั่งเศส
อย่างไรก็ตาม การอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ รวมถึงในคัมภีร์ไบเบิล กล่าวถึงการเพลิดเพลินกับเครื่องดื่มเย็นๆ โดยบุคคลสำคัญ เช่น กษัตริย์โซโลมอน อเล็กซานเดอร์มหาราช และนีโร แสดงให้เห็นถึงความหลงใหลที่ยาวนานของมนุษย์ที่มีต่อของหวานเย็นๆ
จากราชวงศ์ถังสู่ไอศกรีมปัจจุบัน..
การเดินทางของไอศกรีมแห่งแรกที่เรารู้จักในปัจจุบันเริ่มต้นในราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) ประเทศจีน จักรพรรดิในยุคนั้นชื่นชอบขนมนมแช่แข็งที่ทำจากนมวัว นมควาย หรือนมแพะ ผสมกับแป้งและการบูรเพื่อเพิ่มรสชาติและเนื้อสัมผัส ไอศกรีมในยุคแรกๆ เหล่านี้ถูกแช่แข็งในท่อโลหะและเก็บไว้ในแอ่งน้ำแข็ง ทำให้เกิดประเพณีการกินไอศกรีมที่แสนประณีต
ยุคกลางและการพัฒนาเชอร์เบต..
เมื่อประเพณีของหวานเย็นพัฒนาไป ยุคกลางก็เกิดการถือกำเนิดของ เชอร์เบต (sharabt ในภาษาอาหรับ) ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของไอศกรีมซันเดย์ ชาวอาหรับชื่นชอบเชอร์เบตที่ปรุงรสด้วยผลไม้ เช่น มะตูม ทับทิม หรือเชอร์รี อาหารอันน่ารื่นรมย์นี้ดึงดูดใจชนชั้นสูงในยุโรป ต่อมาเชฟชาวอิตาลีและฝรั่งเศสได้ปรับปรุงวิธีการปรุงไอศกรีมให้ดียิ่งขึ้น
.
ก่อนที่จะมีคำว่า "ไอศกรีม" อารยธรรมโบราณก็ได้เพลิดเพลินกับของหวานแช่แข็งอยู่แล้ว กษัตริย์โซโลมอนเพลิดเพลินกับเครื่องดื่มเย็นๆ ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว อเล็กซานเดอร์มหาราชชอบเครื่องดื่มเย็นที่มีรสชาติของไวน์หรือน้ำผึ้ง จักรพรรดินีโรในกรุงโรมใช้หิมะจากภูเขาในการทำเครื่องดื่มผสมน้ำแข็ง
ขนมหวานเปอร์เซียและเชอร์เบทของตุรกี..
ตั้งแต่ 400 ปีก่อนคริสตกาล ชาวเปอร์เซียได้คิดค้นวิธีการเก็บน้ำแข็งที่ซับซ้อนในห้องใต้ดินขนาดใหญ่ที่เรียกว่า "yakhchāls" พวกเขาสร้างไอศกรีมต้นแบบที่เรียกว่า "faloodeh" ซึ่งเป็นขนมที่ทำจากน้ำกุหลาบ เส้นหมี่ และน้ำแข็ง ขณะเดียวกัน จักรวรรดิออตโตมันพัฒนาเชอร์เบท (หรือชาร์บัต) ซึ่งเป็นเครื่องดื่มหวานที่ทำจากน้ำผลไม้ น้ำ และสารให้ความหวาน มักจะทำให้เย็นลงด้วยหิมะหรือน้ำแข็ง
ในช่วงราชวงศ์ถัง ชาวจีนพัฒนาวิธีการแช่แข็งผลิตภัณฑ์นมโดยใช้ส่วนผสมของเกลือและน้ำแข็ง พวกเขาสร้างขนมนมแช่แข็งที่ทำจากนมวัว นมแพะ หรือนมควายผสมกับแป้งและปรุงรสด้วยการบูร การเปลี่ยนเครื่องดื่มเย็นเป็นของหวานเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 17 อันโตนิโอ ลาตินี (Antonio Latini) คิดค้นสูตรเชอร์เบต และแนะนำเชอร์เบตที่ทำจากนม ซึ่งถือเป็นการวางรากฐานสำหรับไอศกรีมสมัยใหม่
ไอศกรีมอิตาลีและอเมริกา..
อิตาลีมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาไอศกรีม เจลาโต ซึ่งเป็นไอศกรีมซอร์เบต์ที่เนียนนุ่มและเข้มข้นกว่าได้แพร่กระจายไปทั่วทวีปยุโรป ในศตวรรษที่ 18 ไอศกรีมถูกนำมาเผยแพร่ในอเมริกาโดยผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรป ความรักที่ชาวอเมริกันมีต่อไอศกรีมเริ่มต้นขึ้นจากการเปิดร้านไอศกรีมในนิวยอร์กในปี 1790 บุคคลสำคัญต่างๆ เช่น จอร์จ วอชิงตัน โทมัส เจฟเฟอร์สัน และอับราฮัม ลินคอล์น เป็นที่รู้จักว่าชื่นชอบไอศกรีม ประเพณีการเสิร์ฟไอศกรีมในงานสังสรรค์ทางสังคมแสดงให้เห็นถึงบทบาทของขนมหวานนี้ในสังคมอเมริกัน
.
นวัตกรรมและการแพร่กระจาย..
การเปิดตัวไอศกรีมโคนในงาน World’s Fair ปี 1904 ที่เมืองเซนต์หลุยส์ได้ปฏิวัติรูปแบบการรับประทานไอศกรีม ทำให้ไอศกรีมโคนเป็นขนมที่พกพาสะดวกและสะดวกสบาย การคิดค้นไอศกรีมโซดาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ได้เพิ่มรสชาติซ่าให้กับไอศกรีม และปูพื้นฐานให้กับไอศกรีมซันเดย์ ซึ่งเป็นเมนูไอศกรีมที่ทุกคนชื่นชอบ ในศตวรรษที่ 20 ได้มีการนำไอศกรีมแบบซอฟต์เซิร์ฟมาใช้ ซึ่งเป็นไอศกรีมที่เบากว่าและสามารถเสิร์ฟจากเครื่องได้ง่าย
ตลอดประวัติศาสตร์ของไอศกรีม ตั้งแต่สระน้ำแข็งโบราณไปจนถึงร้านไอศกรีมสมัยใหม่ วิวัฒนาการของไอศกรีมนั้นโดดเด่นด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และนวัตกรรมการทำอาหาร ทำให้มันกลายเป็นขนมที่ได้รับความนิยมและชื่นชอบทั่วโลก
...
อีกหนึ่งวันของปี..วันไอศกรีมแห่งชาติ (อเมริกา) 13 ธันวาคม National Ice Cream Day
วันไอศกรีมที่ประกาศโดยประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน จะตรงกับวันอาทิตย์ที่สามของเดือนกรกฎาคม แต่ยังมีการยกให้วันที่ 13 ธันวาคม เป็นวันไอศกรีมอีกหนึ่งวัน ยังไม่พบข้อมูลถึงที่มาในวันนี้ แต่สงสัยว่าอาจมาจากงานเลี้ยงไอศกรีมในโรงเรียนท้องถิ่นบางแห่งของสหรัฐอเมริก และได้รับการยอมรับในอีกหลายโรงเรียนของระดับประเทศว่าเป็นวันพิเศษอีกหนึ่งวัน
.
มาดูไอศกรีมของแต่ละประเทศที่อาจไม่ค่อยได้เห็นกัน ว่าจะหน้าตาจะน่ากินน่าอร่อยขนาดไหน
1. ลักริทไซไอศกรีม (Licorice Ice Cream) ฟินแลนด์
ไอศกรีมรสลักริทซ์ที่มีเอกลักษณ์ด้วยรสชาติหวานและเค็มเล็กน้อย ซึ่งเป็นรสชาติที่ชาวฟินแลนด์นิยม
2. ไอศกรีมบราวน์ชีส (Brown Cheese Ice Cream) นอร์เวย์
ไอศกรีมที่ผสมบราวน์ชีส หรือ “Gjetost” ของนอร์เวย์ มีรสชาติหวานมันและเค็มเล็กน้อย
3. กุลฟี (Kulfi) อินเดีย
ไอศกรีมสไตล์อินเดียที่มีความเข้มข้นและเนื้อแน่นเพราะใช้นมที่เคี่ยวจนข้น รสชาติยอดนิยมคือพิสตาชิโอ มะม่วง และกระวาน
4. ฮาโลฮาโล Halo-Halo ฟิลิปปินส์
เสิร์ฟในถ้วยใหญ่พร้อมส่วนผสมหลากหลาย เช่น เผือก ลูกชิด เจลลี่ และนม
5. ดอนดูร์มา (Dondurma) ตุรกี
ไอศกรีมตุรกีที่มีลักษณะเหนียวหนึบและไม่ละลายง่าย เพราะใช้สารธรรมชาติอย่างมาสติกและแป้งซาเลป
6. เอสพอตง (Es Puter) อินโดนีเซีย
ไอศกรีมแบบดั้งเดิมที่ทำจากกะทิแทนนม นิยมใส่รสมะพร้าว ทุเรียน หรือกล้วย และเสิร์ฟพร้อมข้าวเหนียว
7. ไอศกรีมงาดำ (Black Sesame Ice Cream) จีน
ไอศกรีมสไตล์จีนที่เน้นรสชาติจากวัตถุดิบอย่าง งาดำ
8. แอคายโบวล์ (Açaí Bowl) บราซิล
ทำจากแอคายเบอร์รีปั่นผสมกับน้ำแข็ง คล้ายไอศกรีม เสิร์ฟพร้อมท็อปปิ้ง กราโนล่า หรือผลไม้สด
.
หลายคนอาจจะชอบ เจลาโต้ ของอิตาลี บิงชูของเกาหลี โมจิไอศกรีม ของญี่ปุ่น ไอศกรีมเซอร์เบต์ ของฝรั่งเศส แต่ยังมีไอศกรีมรสชาติใหม่ๆ แปลกๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ ถ้ามีโอกาศได้เจอลองชิมแล้วมาแบ่งปันร้านและสถานที่กันได้นะครับผม
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: nationaltoday
: wikipedia
: tasteatlas
: historycooperative .org
: history
: pinterest
.
LookAt
0 - 0
วันเส้นพาสต้าวงแหวน 11 ธันวาคม Noodle Ring Day
วันเส้นพาสต้าวงแหวนแห่งชาติตรงกับวันที่ 11 ธันวาคม เพื่อยกให้อาหาร อย่างพาสต้าสไตล์คลาสสิกที่ถูกอบในแม่พิมพ์ทรงวงแหวนแสนอร่อย Noodle Ring เป็นเมนูที่ยืดหยุ่นและสร้างสรรค์ สามารถปรับเปลี่ยนได้ตั้งแต่สลัดพาสต้าเบาๆ ไปจนถึงเมนูพาสต้าอบที่เต็มไปด้วยรสชาติ ขึ้นอยู่กับความชอบ และจินตนาการของผู้ทำ
Noodle Ring หรือเส้นพาสต้าวงแหวน เริ่มเป็นที่นิยมในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 และปรากฏในหนังสือทำอาหารยุคนั้นอย่างแพร่หลาย สูตรที่เก่าแก่ที่สุดสูตรหนึ่งมาจากชุมชนชาวเพนซิลเวเนีย-ดัตช์ในปี ค.ศ. 1936 โดยใช้ส่วนผสมหลักอย่างเส้นก๋วยเตี๋ยว แป้ง นม ไข่ และชีส ผสมเข้าด้วยกันและอบในแม่พิมพ์ขนมปัง
การพัฒนาของเส้น Noodle Ring ในปัจจุบัน ยังคงรักษารูปแบบดั้งเดิมไว้ โดยใช้พาสต้า ไข่ ชีส และส่วนผสมอื่นๆ เช่น แป้ง เกล็ดขนมปัง หรือซอสต่างๆ ผสมกันและนำไปอบในแม่พิมพ์ เมื่ออบเสร็จแล้วสามารถนำออกมาจัดเสิร์ฟพร้อมกับสตูว์เนื้อ ไก่ในซอสครีม หรือเห็ดนึ่ง
อย่างไรก็ตาม การมาถึงของเมนูอย่างมักกะโรนีและชีสที่ทำง่ายและสะดวกกว่า ได้ลดความนิยมของ Noodle Ring ลงไปในยุคปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ วัน Noodle Ring จึงกลายเป็นโอกาสพิเศษในการฟื้นฟูเมนูโบราณนี้ และส่งต่อประเพณีการทำอาหารแสนสร้างสรรค์ให้กับคนรุ่นใหม่
.
เส้นทางของพาสต้าในประวัติศาสตร์..
เส้นก๋วยเตี๋ยวเป็นหนึ่งในอาหารที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยบันทึกที่เก่าแก่ที่สุดพบในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกของจีน (ค.ศ. 25–220) ซึ่งระบุว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ทำจากแป้งสาลีได้กลายเป็นอาหารหลักของประชาชนในยุคนั้น หลักฐานสำคัญอื่นๆ พบในปี 2005 เมื่อทีมนักโบราณคดีค้นพบเส้นก๋วยเตี๋ยวอายุ 4,000 ปีในชามดินเผาที่แหล่งโบราณคดีลาเจีย เส้นดังกล่าวทำจากลูกเดือย และมีลักษณะคล้ายเส้นลามิอานของจีน แม้จะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับวิธีการผลิต แต่การค้นพบนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของเส้นก๋วยเตี๋ยวในวัฒนธรรมอาหารโบราณของจีน
วิวัฒนาการในภูมิภาคต่างๆ..
จีน: ปัจจุบันมีเส้นก๋วยเตี๋ยวมากกว่า 1,200 ชนิดที่บริโภคในจีน โดยแยกเป็นสองกลุ่มใหญ่ คือเส้นที่ทำจากแป้งสาลี (miàn) และเส้นที่ทำจากแป้งอื่น เช่น แป้งถั่วเขียวหรือแป้งข้าว (เฟิน)
ญี่ปุ่นและเกาหลี: เส้นอุด้งในญี่ปุ่นได้รับการดัดแปลงจากสูตรจีนในศตวรรษที่ 9 ส่วนเส้นแนงมยอนในเกาหลีที่ทำจากบัควีทพัฒนาขึ้นในยุคราชวงศ์โชซอน (ค.ศ. 1392–1897) และราเมน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากเส้นจีน กำลังเป็นที่นิยมตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20
เอเชียกลาง: ชาวเติร์กบริโภคเส้นก๋วยเตี๋ยวเคสเมและเอริสเตมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13
เอเชียตะวันตก: แอชเรสเทห์ ซึ่งเป็นซุปเส้นผสมสมุนไพร ถือเป็นอาหารยอดนิยมในอิหร่านและประเทศใกล้เคียง
ยุโรป
กรีกและโรมันโบราณ: บันทึกในศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาลกล่าวถึงลากานา (แผ่นแป้งทอด) ที่เชื่อว่าเป็นต้นแบบของพาสต้า
อิตาลี: การผลิตพาสต้าในอิตาลีเริ่มชัดเจนตั้งแต่อารยธรรมอีทรัสคัน โดยมีเทสตาโรลีเป็นผลิตภัณฑ์พาสต้ารูปแบบแรก และในศตวรรษที่ 10–11 พาสต้าเส้นเริ่มแพร่หลาย โดยนักประวัติศาสตร์เชื่อว่ามีต้นกำเนิดจากชาวอาหรับ
เยอรมนี: ชเปตซ์เล ซึ่งเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวชนิดหนึ่ง มีบันทึกตั้งแต่ปี 1725 และภาพวาดในยุคกลางบ่งชี้ถึงความเก่าแก่ที่มากกว่านั้น
โปแลนด์: ซาเซียร์กี เป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวชนิดหนึ่งในอาหารยิวโปแลนด์ และมีบทบาทสำคัญในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ เช่น การกระจายอาหารในเกตโตลอดซ์
เส้นก๋วยเตี๋ยวและพาสต้ามีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมอาหารทั่วโลก โดยแต่ละภูมิภาคมีการดัดแปลงและพัฒนาสูตรให้เข้ากับวัตถุดิบและวิถีชีวิตของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเส้นที่ทำจากแป้งสาลี ธัญพืช หรือแป้งชนิดอื่น
จากจีนสู่อิตาลี และจากกรีซสู่ตะวันออกกลาง เส้นก๋วยเตี๋ยวและพาสต้ายังคงเป็นอาหารที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์และความหลากหลายทางวัฒนธรรมในแต่ละยุคสมัย
.
ถ้านึกถึงเส้นพาสต้า แน่นอนว่าต้องนึกถึงประเทศอิตาลีเป็นอันดับต้นๆ มาดูเมนูพาสต้าของชาวอิตาลีชวนหิวกัน
1. Spaghetti Bolognese
เมนูพาสต้าคลาสสิกของอิตาลีที่ประกอบด้วยสปาเก็ตตี้เสิร์ฟพร้อมซอสมะเขือเทศเข้มข้น โดยมักมีเนื้อวัวหรือเนื้อหมูและสมุนไพรหลากหลายชนิด และวอดก้า
2. Fettuccine Alfredo
เส้นพาสต้าครีมมี่เสิร์ฟพร้อมซอสเข้มข้นที่ทำจากเนย ครีมข้น และชีสพาร์เมซาน
3. Lasagna
พาสต้าเนื้อแน่นวางเป็นแผ่นพาสต้าชั้นๆ พร้อมด้วยซอสเนื้อ (วัวหรือหมู) เบชาเมล ชีส และผัก
4.Pasta Primavera
พาสต้าสด ทำจากผักต่างๆ
5. Spaghetti Bolognese
ซอสเนื้อรสเข้มข้นที่ทำจากเนื้อบด เนื้อหมู มะเขือเทศ และผักที่มีกลิ่นหอม
6. Penne alla Vodka
เสิร์ฟพร้อมซอสมะเขือเทศครีมมี่ปรุงรสด้วยวอดก้า ใส่เบคอนด้วยยิ่งดี
7. Pasta alla Norma
ทำจากมะเขือยาว มะเขือเทศ โหระพา และชีสริคอตต้าซาลาตา
8. Orecchiette alle Cime di Rapa
ประกอบด้วยพาสต้าโอเรคเคียตเตกับผักกาดเขียว กระเทียม และปลาแอนโชวี่ รสชาติขมเค็มที่เป็นเอกลักษณ์
.
เพื่อนๆ มีเมนูเส้นพาสต้าจานโปรดอะไรกันบ้าง ว่าแต่ ถ้าไม่ได้ทำกินเอง แนะนำร้านกันได้น๊าาาา
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: thereisadayforthat
: wikipedia
: tasteatlas
: chefspencil
: erudus
.
LookAt
0 - 0
วันที่ 8 ธันวาคมของทุกปี จะเป็นวันสำหรับผู้ที่ชื่นชอบบราวนี่ ถือเป็นโอกาส ที่จะได้ทั้งความอร่อยและความสุขจากบราวนี่ที่เหนียวหนึบและเข้มข้น ทั้งเนื้อสัมผัสแบบ บราวนี่ฟัดจ์ แบบบราวนี่กรอบ แบบเนื้อเค้ก แบบชิววี่บราวนี่ ไม่ว่าจะเป็นบราวนี่ช็อกโกแลตหรือบลอนดี้ และไม่ว่าจะแบบไหนก็ตาม บราวนี่จะทำให้คุณดื่มด่ำกับความอร่อยและปล่อยให้โลกแห่งความจริงละลายหายไปชั่วขณะ "ใช่แล้วมันเป็นแบบนั้นสำหรับใครหลายคน"
.
ตำนานเล่าว่า บราวนี่ได้รับการคิดค้นขึ้นที่โรงแรม Palmer House ในปี ค.ศ. 1893 เบอร์ธา พาล์มเมอร์ (Bertha Palmer) ซึ่งเป็นสตรีชั้นสูงในชิคาโกและสามีเป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ ได้ขอให้เชฟทำขนมหวานที่เหมาะสำหรับผู้หญิงที่เข้าร่วมงาน Chicago World’s Columbian Exposition เธอต้องการขนมชิ้นเล็กๆ ที่มีลักษณะเหมือนเค้กและสามารถใส่ในกล่องอาหารกลางวันได้ ผลลัพธ์ที่ได้คือบราวนี่ Palmer House ที่มีวอลนัทและเคลือบด้วยแอปริคอต ซึ่งโรงแรม Palmer House ยังคงเสิร์ฟขนมหวานสูตรนี้อยู่จนถึงปัจจุบัน
.
มีตำนานเล็กๆ อีกอย่างเล่าว่า บราวนี่ถือกำเนิดขึ้นเพราะแม่ครัวที่ชื่อ "บราวนี่" ลืมใส่ผงฟูลงในเค้ก ขนมจงไม่ขึ้นฟู และกลายเป็นบราวนี่จนถึงทุกวันนี้ อยู่ด้วย! (*ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ยืนยันว่าเรื่องราวนี้เกิดขึ้นจริง)
.
ชื่อนี้ถูกตั้งให้กับขนมหวานนี้ในช่วงหลังปี ค.ศ. 1893 แต่หนังสือหรือวารสารเกี่ยวกับการทำอาหารยังไม่ได้ใช้ชื่อนี้ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1907 บราวนี่ได้รับการยอมรับ และปรากฏในหนังสือ "Lowney’s Cook Book" โดย Maria Willet Howard ซึ่งเป็นการดัดแปลงสูตร "Bangor Brownie" ของ Boston Cooking School โดยเพิ่มไข่และช็อกโกแลตอีกชิ้น ทำให้ขนมหวานมีรสชาติเข้มข้นขึ้น
.
ชื่อ "Bangor Brownie" มาจากเมือง Bangor ในรัฐ Maine ซึ่งตำนานกล่าวว่าเป็นบ้านเกิดของแม่บ้านที่คิดค้นสูตรบราวนี่สูตรดั้งเดิม Mildred Brown Schrumpf นักการศึกษาด้านอาหารและนักเขียนคอลัมน์ของรัฐ Maine เป็นผู้สนับสนุนหลักของทฤษฎีที่ว่าบราวนี่ถูกคิดค้นขึ้นในเมือง Bangor แม้ว่าหนังสือ "The Oxford Companion to American Food and Drink" จะหักล้างข้อสันนิษฐานนี้ แต่ "The Oxford Encyclopedia of Food and Drink in America" กลับพบหลักฐานที่สนับสนุนทฤษฎีนี้ในรูปแบบของหนังสือสอนทำอาหารหลายเล่มจากปี 1904 ที่มีสูตรทำ "บราวนี่เมือง Bangor" รวมอยู่ด้วย
.
บราวนี่ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของช็อกโกแลต, เนย, น้ำตาล, ไข่ไก่ และแป้งสาลีอเนกประสงค์ ซึ่งวัตถุดิบล้วนแล้วแต่เป็นที่ชื่นชอบของคนส่วนใหญ่ และเนยถือเป็นหนึ่งในส่วนประกอบที่สำคัญ
.
เนยจากยุคโบราณสู่ปัจจุบัน..
เนย หรือ Butter เป็นหนึ่งในอาหารที่เก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์เคยรู้จักและใช้ในการปรุงอาหาร ตลอดประวัติศาสตร์ยาวนาน เนยมีบทบาทสำคัญทั้งในวัฒนธรรมการบริโภคอาหารและการใช้งานในทางการแพทย์
การทำเนยอาจมีขึ้นตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ การพบร่องรอยของการทำเนยในเครื่องปั้นดินเผาที่อยู่ในสถานที่ขุดค้นทางโบราณคดีต่างๆ เช่น ในตะวันออกกลางและยุโรป นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าการทำเนยเริ่มขึ้นเมื่อมนุษย์รู้จักการเลี้ยงสัตว์นมอย่างแกะและวัว
ใน ยุคโรมันโบราณ เนยไม่ใช่อาหารที่ใช้บริโภคทั่วไปในหมู่ชาวโรมัน แต่จะใช้เป็นผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ และเครื่องสำอางมากกว่า ซึ่งในยุคโรมันใช้เนยในการรักษาบาดแผลและผิวแห้ง นอกจากนี้ยังมีการบันทึกว่าเนยถูกใช้ในการปรุงอาหารบางเมนูของชาวโรมันเช่นกัน
.
อ่านยาวๆ แล้วอาจจะเริ่มหิวเล็กน้อยกันแล้วไหม
บราวนี่ เอามาผสมเป็นได้อีกหลายเมนูที่เห็นแล้วก็ยากจะอดใจไหวนะ
1. บราวนี่ซันเดย์ (Brownie Sundae)
2. ช็อกโกแลตลาวาบราวนี่ (Chocolate Lava Brownie)
3. บราวนี่ชีสเค้ก (Brownie Cheesecake)
4. บราวนี่พาร์เฟต์ (Brownie Parfait)
5. ช็อกโกแลตเฟรนช์โทสต์บราวนี่ (Chocolate Brownie Stuffed French Toast)
.
ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ ชอบบราวนี่แบบไหนกัน
เวลายากกิน บราวนี่ อยากกินไอติมด้วย ถ้าแบบเข้าถึงง่ายๆ เลยนี่อยากบอกว่า ร้านแรกที่นึกถึงคือ แดรี่ควีน กับเมนู บลิซซาร์ด ช็อก บราวนี่..
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: nationaldayfood
: tasteatlas
: wikipedia
.
LookAt
0 - 0
ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยยานพาหนะที่ใช้พลังงานเครื่องยนต์หลากหลายประเภท เรามักมองข้ามจักรยาน ซึ่งเป็นยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยพลังมนุษย์ไปโดยง่าย แม้จักรยานจะถูกแทนที่ด้วยยานพาหนะที่เร็วกว่าและใช้พลังงานเชื้อเพลิง แต่จักรยานนั้นไม่ได้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานเท่าที่เราอาจเข้าใจ ความจริงแล้ว มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เกิดขึ้นมาในช่วงเวลาสั้นๆ แต่กลับมีการออกแบบและการใช้งานที่หลากหลาย จนกลายเป็นส่วนสำคัญของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
.
ย้อนไปในศตวรรษที่ 15 จุดเริ่มต้นของจักรยานในปัจจุบันมาจากอุปกรณ์ที่คล้ายกัน เช่น ยานพาหนะสี่ล้อที่ขับเคลื่อนด้วยเชือกซึ่งพัฒนาโดยจิโอวานนี ฟอนทานา (Giovanni Fontana) นักประดิษฐ์ชาวอิตาลี ซึ่งได้ใช้ภาพร่างสองล้อของเลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci) *แม้ว่าความแท้จริงของภาพเหล่านั้นจะยังเป็นที่ถกเถียงกัน
.
จักรยานคันแรกที่แท้จริงปรากฏในปี 1817 โดยบารอน ฟอน ดราอิส (Baron von Drais) ชาวเยอรมัน ซึ่งเรียกว่า "เวลโลซิพีด" (velocipede) หรือ "จักรยานทรงตัว" เพื่อใช้แทนม้าซึ่งเกิดการขาดแคลนจากวิกฤตการณ์อาหารในยุโรปในตอนนั้น โดยจักรยานนี้ทำจากไม้ทั้งหมดและไม่มีแป้นเหยียบ ผู้ใช้ต้องใช้เท้าถีบพื้นเพื่อเคลื่อนที่
.
ความก้าวหน้าของจักรยานสมัยใหม่ดำเนินไปทีละน้อยในช่วงหลายทศวรรษต่อมา แป้นเหยียบคันแรกปรากฏขึ้นบนจักรยานแบบเวโลซิพีดในปี 1839 ในสกอตแลนด์ และในปี 1845 ในนอังกฤษ มีการเพิ่มยางลมให้กับล้อ ในปี 1864 ความก้าสวหน้าก็เพิ่มขึ้นในรูปแบบจักรยาน "Boneshaker"
.
ต่อมาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 อังกฤษกลายเป็นผู้นำในพัฒนาการจักรยานด้วยความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม เช่น "เพนนี ฟาร์ธิง" (Penny Farthing) ที่มีล้อหน้าขนาดใหญ่ จักรยานเริ่มสะดวกและใช้งานได้ง่ายขึ้น อุปกรณ์เช่นยางลม ลูกปืน และเบรกก็ถูกเพิ่มเข้ามา จนในปี 1885 จักรยานแบบ "โรเวอร์" ซึ่งใกล้เคียงกับจักรยานในปัจจุบันที่สุดได้รับการเปิดตัว
.
จักรยานไม่ได้เปลี่ยนแปลงแค่การเดินทาง แต่ยังมีบทบาทสำคัญในเรื่องสังคม เช่น การเพิ่มอิสรภาพให้กับสตรีในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 สร้างแรงผลักดันต่อการเรียกร้องสิทธิสตรีที่เริ่มมีพลังมากขึ้นในยุคนั้น
.
ในศตวรรษที่ 20 การพัฒนาวัสดุ เช่น ไทเทเนียม คาร์บอนไฟเบอร์ และอะลูมิเนียม ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและน้ำหนักเบาให้จักรยาน เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น เบรกดิสก์ ระบบเกียร์ไฟฟ้า และจักรยานไฟฟ้าก็เข้ามาเสริมศักยภาพ ทำให้จักรยานสามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายได้
...
วันจักรยานยางหนาโลก 4 ธันวาคม 2567 Global Fat Bike Day
"วันจักรยานยางหนาโลก" หรือ "วันจักรยานแฟตไบค์โลก" จัดขึ้นในวันเสาร์แรกของเดือนธันวาคมทุกปีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 และในปีนี้ตรงกับวันที่ 4 ธันวาคม เป็นวันที่พิเศษสำหรับผู้ที่ชื่นชอบจักรยาน Fat Bike ด้วยวิธีการขี่จักรยาน Fat Bike!
.
คำว่า Fat Bike หรือ จักรยานยางหนา หมายถึงจักรยานที่ออกแบบมาให้มียางขนาดใหญ่พิเศษ เพื่อเพิ่มความสามารถในการขี่บนพื้นผิวที่ท้าทาย เช่น ทราย หิมะ หรือโคลน
ในปี ค.ศ. 1900 จักรยาน Fat Bike รุ่นแรกเกิดขึ้น เป็นจักรยานที่มีสองถึงสามล้อวางขนานกันเพื่อเพิ่มพื้นผิวสัมผัสกับพื้นดิน
.
ในเวลาไม่ถึงทศวรรษนั้นวันนี้ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ ผู้เริ่มต้นไอเดียนี้ ได้แนวคิดจากการสนทนาและการขี่จักรยานในกลุ่มเล็กๆ เริ่มต้นขึ้นเมื่อกลุ่มคนรักจักรยาน Fat Bike ในอังกฤษเริ่มจัดกิจกรรมการขี่จักรยานเล็กๆ พวกเขาเรียกว่า "Just grassroots stuff" ความฝันคือการรวมตัวคนและจักรยานที่น่าทึ่งในที่เดียว แต่เนื่องจากปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ (ค่าใช้จ่าย ตารางเวลาที่ขัดแย้งกัน ฯลฯ) แผนดังกล่าวจึงไม่เคยเกิดขึ้น
.
ต่อมาแนวคิดของการรวมตัวทั่วโลกเพื่อเฉลิมฉลองจักรยานเสือภูเขาเก่าเริ่มเกิดขึ้น โดยมีหลักการง่ายๆ คือตกลงกันในเวลาที่กำหนดและวัน แล้วขึ้นขี่จักรยาน ซึ่งไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดในโลก คุณเพียงแค่ขี่จักรยานในเวลาที่กำหนดในเขตเวลาของคุณ
.
ส่วนการขี่จักรยาน Fat Bike มักจะเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ที่มีหิมะตกเล็กน้อย ซึ่งหิมะบนเส้นทางทำให้การขี่จะกลายเป็นที่จดจำ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจำเป็นพื้นหิมะอย่างเดียว ไม่ว่าจะบนทราย หรือพื้นถนนก็ยังสามารถทำให้การขี่เป็นที่จดจำได้เช่นกัน
.
ไม่นานนัก ไอเดียนี้ก็มีคนสนใจในหลายประเทศและแพร่กระจายอย่างรวดเร็วทางออนไลน์ และนี่คือที่เรามาถึงในวันนี้ วันแห่งจักรยาน Fat Bike วันที่เริ่มต้นในอังกฤษ และได้รับความนิยมในแคนาดา ต่อด้วยสหรัฐอเมริกา เป็นวิธีที่ชุมชนจักรยาน Fat Bike จะแบ่งปันประสบการณ์และเฉลิมฉลองความรักที่พวกเขามีต่อจักรยานที่งดงามนี้
...
จะขี่จักรยานได้อย่างสบายๆ ก็ต้องมีอาหารที่ช่วยบำรุงร่างกายสินะ!
มาดูเมนูอาหาร น่ากินน่าอร่อย ที่ช่วยบำรุงร่างกายกัน
1. โปเกโบวล์ (Poke Bowl) เมนูจากฮาวาย
ข้าวกล้อง, ปลาแซลมอนสดหรือทูน่า, อะโวคาโด, สาหร่าย, ผักสด, ซีอิ๊วญี่ปุ่น
2. Lentil Curry แกงถั่วเลนทิล เมนูจากอินเดีย
ถั่วเลนทิล, ผักโขม, มะเขือเทศ, เครื่องเทศ (ขมิ้น, ยี่หร่า)
3. กัวคาโมเล่กับแครกเกอร์ธัญพืช (Guacamole with Whole Grain Crackers) เมนูจากเม็กซิกัน
อะโวคาโด, น้ำมะนาว, หอมแดง, ผักชี, แครกเกอร์โฮลเกรน
4. ควินัวกับสตูผัก (Quinoa and Vegetable Stew) เมนูแถบ อเมริกาใต้อย่าง เปรู และโบลิเวีย
ควินัว, มะเขือเทศ, แครอท, บรอกโคลี, ถั่วลันเตา, สมุนไพร
5. ซุปฟักทองญี่ปุ่น (Japanese Pumpkin Soup)
ฟักทองญี่ปุ่น, หอมใหญ่, น้ำซุปดาชิ, นมถั่วเหลืองหรือนมไขมันต่ำ
6. ซุปมันฝรั่งกับเลอครีม (Potato and Leek Soup) มีต้นกำเนิดจากฝรั่งเศส
มันฝรั่ง, ต้นกระเทียม (Leek), น้ำซุปผัก, ครีมไขมันต่ำ
7. ต้มยำกุ้ง
ได้รับการขึ้นทะเบียน โดยยูเนสโกเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติในปี พ.ศ. 2567
.
สุขภาพที่ดีเริ่มต้นได้ที่อาหาร และออกกำลังกาย สุขภาพแข็งแรง ไปเที่ยวไหน ไปกินของอร่อยที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นครับผม
เพื่อนๆ มาแบ่งปันเมนูอร่อยๆ หรือร้านแนะนำอร่อยๆ กันได้นะครับ
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: fat-bike .com
: historycooperative .org
: bikemn .org
.
LookAt
0 - 0
ทิมมี่ผจญภัยป่าเวทมนตร์ต้องสาป เนื่องในวันแห่งฟริตเตอร์แห่งชาติ – 2 ธันวาคม
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า "เมเปิ้ลวิลล์" มีเด็กน้อยชื่อว่า "ทิมมี่" เป็นเด็กชายที่รักการทำอาหารมาก เขาชอบอยู่ในครัวกับคุณแม่และทดลองทำอาหารใหม่ๆ อยู่เสมอ
วันหนึ่ง คุณแม่ของทิมมี่บอกว่า
"พรุ่งนี้เป็นวันพิเศษที่เรียกว่า (วันแห่งฟริตเตอร์) ทุกคนในหมู่บ้านจะมาร่วมกันทำฟริตเตอร์กัน"
ทิมมี่ตื่นเต้นมาก!
"ฟริตเตอร์คืออะไรครับแม่?" เขาถามด้วยความสนใจ
คุณแม่ยิ้มแล้วตอบว่า
"ฟริตเตอร์คืออาหารที่เรานำส่วนผสมต่างๆ มาคลุกเคล้ากับแป้งแล้วทอดจนกรอบนอกนุ่มใน มันอร่อยมากเลยจ้ะ!"
พรุ่งนี้เรามาทำฟริตเตอร์ข้าวโพดที่อร่อยที่สุดในโลกกัน!
.
คืนก่อนวันแห่งฟริตเตอร์ ทิมมี่ไม่สามารถหลับได้เพราะเขาตื่นเต้นมาก เขาตัดสินใจลุกขึ้นมาสำรวจห้องเก็บของเก่า ในขณะที่เขากำลังค้นหา เขาพบกับแผนที่เวทมนตร์ที่ซ่อนอยู่ในกล่องใบเก่าที่มีฝุ่นเกาะอยู่เต็ม แผนที่นั้นดูเก่ามากและมีเส้นทางที่นำไปสู่ป่าเวทมนตร์ต้องสาป
ทิมมี่คิดว่า
"ถ้าฉันสามารถหาอะไรพิเศษในป่าเวทมนตร์มาใส่ในฟริตเตอร์ของเราได้ คงจะทำให้ฟริตเตอร์ของเราดีเยี่ยมที่สุดในหมู่บ้านแน่ๆ!"
ดังนั้นเขาตัดสินใจออกเดินทางไปยังป่าเวทมนตร์ต้องสาป เพื่อค้นหาสิ่งพิเศษที่จะนำมาใส่ในฟริตเตอร์
ทิมมี่เดินทางไปยังป่าเวทมนตร์ต้องสาป ลึกเข้าไปภายในป่า เขาพบกับสิ่งมหัศจรรย์มากมาย เช่น ต้นไม้ที่มีดอกไม้เรืองแสง และสัตว์น้อยใหญ่ที่สามารถพูดคุยได้ ทิมมี่ได้พบกับกระรอกน้อยชื่อว่า "ซิมบา"
เจ้าซิมบา จึงถามทิมมี่ว่า เจ้าจะไปไหนหรือ
ซิมบานั้นเป็นกระรอกที่ชอบการผจญภัย เมื่อเห็นทิมมี่เดินเข้ามาด้วยสายตาที่มองไปทั่วอย่างตื่นเต้น จึงรู้ได้ทันทีว่า คงจะมาผจญภัยภายในป่าเป็นแน่แท้
ทิมมี่จึงเล่าให้กับซิมบาฟังว่าทำไมเขาถึงเข้ามาภายในป่าลึกแห่งนี้
หลังจากฟังจบ ซิมบา จึงตัดสินใจเข้าร่วมการเดินทางไปกับทิมมี่
ทั้งสองเดินทางไปพร้อมกัน และต้องพบกับการทดสอบมากมาย
และการทดสอบแรกที่เจอ คือ การข้ามสะพานที่มีพลังเวทมนตร์ พลังนี้นั้นจะคอยพลักให้พวกเขาถอยหลังอยู่ตลอด ไม่ให้เดินข้ามสะพานได้ ทิมมี่และซิมบา ต่างฝ่ายต่างช่วยกันดันตัว เพื่อต้านแรงพลัก จนสามารถข้ามสะพานไปได้
เมื่อข้ามสะพานมาได้แล้วเดินไปเจอกับต้นไม้สูงใหญ่ ขว้างทางพวกเขาไว้ โดยมันได้ส่งเสียงคำรามออกมา และเริ่มถามคำถาม โดยมันบอกว่าถ้าพวกเจ้าตอบไม่ได้ ข้าจะไม่ให้พวกเจ้าผ่านตรงไปนี้
"อะไรเอ่ย มีทั้งแป้ง มีทั้งไข่ มีทั้งน้ำตาล อบขึ้นมากลายเป็นขนมหวาน?"
ทิมมี่รีบตอบออกมาว่า "เค้ก" ไงล่ะ
จากนั้น เจ้าต้นไม้ใหญ่ก็ปล่อยให้เขาทั้งสองผ่านไปได้
เขาทั้งสองจึงเดินลึกเข้าไปในป่าเวทมนตร์ต้องสาป ที่สองข้างทางนั้นมีแต่ต้นไม้ขนาดใหญ่ และมีแสงวิบวับสวยงามดั่งต้นไม้แต่ละต้นนั้นต้องเวทมนตร์ ทันใดนั้น ก็มีผลแอปเปิ้ลทองคำ ที่มีขนาดใหญ๋ กระโจนเข้ามาขว้างทั้งทั้งสองไว้ มันพ้นแสงวิบวับออกมาจากปากใส่ไปที่ทิมมี่ แต่ซิมบาได้กระโดดเข้ามาขว้างไว้ ทำให้แสงนั้นพุ่งเข้าที่ซิมบาตรงส่วนหน้าอก ทำให้บริเวณหน้าอกมีแสงเวทมนตร์วิบวับ
ทิมมี่ตกใจเป็นอย่างมาก จึงรีบพุ่งตัวเข้าไปช่วยซิมบา แต่เจ้าแอปเปิ้ลทองคำ ได้พูดขึ้นมาว่า หากเจ้าอยากช่วยเพื่อนของเจ้า ให้เจ้าใช้มือทั้งสองของเจ้า จับแสงวิบวับเหล่านั้น และย้ายมันไปไว้บนตัวของเจ้าแทน
ซิมบารีบพูดขึ้นมาทันทีว่าอย่าทำแบบนั้น แต่คำพูดยังไม่ทันจบ ทิมมี่ก็ใช้มือทั้งสอง จับแสงวิบวับไว้ และย้ายแสงนั้นมาใส่บนตัวเขาทันที
ซิบบาตกใจ รีบถามทิมมี่ว่า เจ้าทำแบบนี้ทำไม ตอนนี้รู้สึกอย่างไร
ทิมมี่ตอบว่า ไม่รู้สึกอะไรนะ
แอปเปิ้ลทองคำ ได้หัวเราะขึ้นอย่างชอบอกชอบใจ พร้อมทั้งพูดขึ้นว่า พวกเจ้าผ่านการทดสอบแล้ว แสงวิบวับนั้นไม่มีอันตรายอะไร
แอปเปิ้ลทองคำยังพูดต่ออีกว่า พวกเจ้าต้องการสิ่งใด
ทิมมี่จึงตอบว่า
"อยากได้ผลไม้เพื่อนำไปทำฟริตเตอร์แสนอร่อย"
ได้สิ! แอปเปิ้ลทองคำตอบ และได้นำผลแอปเปิ้ลสีทอง มอบให้ พร้อมบอกว่า นี่เป็นผลแอปเปิ้ลพิเศษที่จะมีรสหวานแสนอร่อย พวกเจ้านำมันกลับไปสิ
ทิมมี่รู้สึกตื่นเต้นมาก จากนั้นจึ้งเดินทางกลับหมู่บ้าน ระหว่างทางผ่านบ้านของซิมบา ทิมมี่จึงขอบคุณซิมบาที่ช่วยเขาในการผจญภัยครั้งนี้
.
เมื่อทิมมี่กลับมาถึงหมู่บ้าน เขาและคุณแม่ได้นำผลแอปเปิ้ลสีทองวิเศษมาทำฟริตเตอร์ ทุกคนในหมู่บ้านต่างรอคอยการชิมฟริตเตอร์ของทิมมี่อย่างใจจดใจจ่อ เมื่อพวกเขาได้ลองชิม ทุกคนต่างชมว่าเป็นฟริตเตอร์ที่อร่อยที่สุดที่เคยได้กิน
.
ทิมมี่ได้เรียนรู้ว่า การทำอาหารไม่ใช่เพียงแค่การผสมส่วนผสมต่างๆ แต่ยังเป็นการผจญภัยและการค้นหาสิ่งใหม่ๆ
: ความมุ่งมั่นและความกล้าหาญในการออกค้นหาสิ่งใหม่ๆ สามารถนำมาซึ่งความสำเร็จ การแบ่งปัน และการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ก็เป็นสิ่งที่สำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและความสุขที่แท้จริงระหว่างมิตรภาพ
.
นิทานเรื่อง: ทิมมี่ผจญภัยป่าเวทมนตร์ต้องสาป
...
วันแห่งฟริตเตอร์แห่งชาติ – 2 ธันวาคม National Fritters Day
Fritters คืออาหารที่ปรุงโดยการนำวัตถุดิบต่างๆ เช่น ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ หรือชีส มาชุบแป้งที่มีส่วนผสมของไข่และน้ำ หรือแป้งสูตรพิเศษ แล้วนำไปทอดจนกรอบนอกนุ่มใน สามารถเป็นได้ทั้งอาหารคาวและหวาน
วันที่ 2 ธันวาคมของทุกปี เป็นอีกวันที่สายกินไม่ควรพลาด เพราะนี่คือ วันแห่งฟริตเตอร์แห่งชาติ วันที่เฉลิมฉลองอาหารจานอร่อยที่มีความหลากหลาย ทั้งในรสชาติและวัฒนธรรม ฟริตเตอร์ไม่ใช่แค่อาหาร แต่เป็นสัญลักษณ์ของความสร้างสรรค์ในครัวทั่วโลก ซึ่งในแต่ละประเทศก็มีรูปแบบและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น
- บิญเนต์ (Beignet) จากฝรั่งเศส
- ปากอร่า (Pakora) จากอินเดีย
- เทมปุระ (Tempura) จากญี่ปุ่น
- ลูคูมาเดส (Loukoumades) ของกรีซ
- Corn Fritters ของอเมริกา
ทั้งหมดล้วนมีความพิเศษอยู่ที่ความง่ายในการปรุง และความยึดหยุ่นในการทำ การดัดแปลงส่วนผสมให้เข้ากับวัตถุดิบต่างๆ ได้
.
ฟริตเตอร์มีประวัติยาวนาน ย้อนกลับไปถึงยุคโรมันโบราณ และถูกบันทึกในเอกสารครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1665 โดยซามูเอล พีปส์ (Samuel Pepys) นักการเมืองและนักเขียนชาวอังกฤษ ผู้ที่หลงใหลในอาหารชนิดนี้ ก่อนจะเผยแพร่มายังยุโรปและทั่วโลก นอกจากนี้ ฟริตเตอร์ยังได้รับการพัฒนาในแต่ละประเทศ เช่น ฟริตโต มิสโต (Fritto misto) ของอิตาลีที่ใช้วัตถุดิบทะเล หรือฟริตเตอร์ดอกไม้ที่เน้นการทอดดอกไม้กินได้
.
การใช้น้ำมันในการปรุงอาหารมีประวัติยาวนานที่ย้อนไปถึงยุคโบราณ ประมาณ 4000 ปีก่อนคริสตกาล น้ำมันถูกใช้ครั้งแรกในอารยธรรมเมโสโปเตเมียและอียิปต์โบราณ โดยส่วนใหญ่เป็น น้ำมันมะกอก ซึ่งได้จากการบีบผลมะกอก น้ำมันมะกอกถูกใช้ทั้งในการประกอบอาหาร การบูชาเทพเจ้า และในงานพิธีกรรม
.
การทอดโดยใช้น้ำมันเริ่มต้นอย่างชัดเจนในยุคโรมันโบราณ จากการค้นพบเอกสารเกี่ยวกับการทอดอาหารที่เรียกว่า "ปากอส" (pacos) และฟริตเตอร์โบราณ โดยใช้น้ำมันมะกอก น้ำมันงา หรือไขมันสัตว์เป็นหลัก เทคนิคการทอดได้แพร่หลายมากขึ้นในยุคกลาง
...
อะไรเกิดก่อนกัน น้ำมันมะกอกหรือน้ำมัน?
การศึกษาทางโบราณคดีได้เปิดเผยประวัติศาสตร์อันยาวนานของน้ำมัน โดยเฉพาะ น้ำมันมะกอก ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์น้ำมันที่เก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์รู้จัก
หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับการผลิตน้ำมันมะกอกมาจากหมู่บ้านยุคหินใหม่ที่ชื่อ คฟาร์ ซามีร์ (Kfar Samir) ซึ่งตั้งอยู่ใต้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นอกชายฝั่งอิสราเอลในปัจจุบัน หมู่บ้านนี้มีอายุราว 7600-7000 ปีที่ผ่านมา หรือประมาณ 5600-5000 ปีก่อนคริสต์ศักราช
หมู่บ้านดังกล่าวจมน้ำหลังจากระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นในช่วงหลังยุคน้ำแข็ง ทำให้สิ่งของต่าง ๆ ถูกปิดผนึกในชั้นทรายและยังคงสภาพดี นักโบราณคดีใต้น้ำได้ค้นพบบ่อที่มีการบดมะกอก เศษมะกอกบด และตะกร้ากรองน้ำมัน ซึ่งแสดงถึงการผลิตน้ำมันในยุคนั้น
ในบริเวณใกล้เคียงที่ชื่อ ฮิชูเลย์ คาร์เมล (Hishuley Carmel) มีการค้นพบหลุมที่ใช้หมักมะกอก หลักฐานนี้บ่งชี้ว่ามนุษย์ในยุคนั้นเริ่มต้นด้วยการผลิตน้ำมันมะกอกก่อนที่จะเรียนรู้วิธีหมักมะกอกเพื่อการบริโภค
.
การปลูกต้นมะกอกเริ่มแพร่กระจายอย่างช้า ๆ ตลอดหลายพันปี หลักฐานจากไม้และละอองเกสรแสดงถึงการขยายตัวของการเพาะปลูกต้นมะกอกนอกพื้นที่ธรรมชาติของพืชป่า
- ใน มหากาพย์โอดิสซีย์ (The Odyssey) ของโฮเมอร์ น้ำมันมะกอกถูกกล่าวถึงว่าเป็นสิ่งล้ำค่าในยุคกรีกโบราณ
- ในยุคโรมัน น้ำมันมะกอกกลายเป็นสินค้าที่สำคัญสำหรับอาหาร การค้า และการดำรงชีวิต
.
ส่วนบ้านเรา ถ้าจะพูดถึง Fritters ที่นึกถึงก่อนเลย ก็กล้วยทอด และก็เผื่อทอดหิมะ ถึงจะไม่เรียกว่า Fritters เพราะไม่มีแป้ง แต่ที่นึกถึงเพราะอยากกินครับผม :>
แล้วเพื่อนๆ นึกถึงเมนูไหนกันครับ
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: spiritoftheholidays
: wikipedia
: pursuit .unimelb .edu .au
.
LookAt
0 - 0
LookAt | Calendar of Stories
"Every story has meaning. We collect important dates, interesting festivals in Thailand and events around the world. Broadcast the past, record the present, so you don't miss important moments!"