Channel Avatar

THE STANDARD WEALTH @UCCbmc3WgGqICujNEjMWrGdQ@youtube.com

483K subscribers - no pronouns :c

สำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ การเงินและการลงทุน โดยทีมข่าว THE S


Welcoem to posts!!

in the future - u will be able to do some more stuff here,,,!! like pat catgirl- i mean um yeah... for now u can only see others's posts :c

THE STANDARD WEALTH
Posted 1 hour ago

UPDATE: FETCO เผย ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนเข้าเกณฑ์ ‘ร้อนแรง’ ปีนี้ลุ้นพุ่งแตะ 1,460 จุด รับอานิสงส์รับแรงหนุนเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ - Thai ESG เข้ารวม 2 แสนล้านบาท - การเมืองคลี่คลาย
.
นักลงทุนเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทยเข้าเกณฑ์ ‘ร้อนแรง’ ได้แรงหนุนเงินกองทุนวายุภักษ์ - Thai ESG เข้ารวม 2 แสนล้านบาท - การเมืองคลี่คลาย รัฐบาลเดิมบริหารต่อ ทำนโยบายเดิมต่อเนื่อง ด้าน ‘พิชัย’ ชี้ นักลงทุนเชื่อมั่นหลังตั้ง ครม. ได้เร็ว
.
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนสิงหาคม 2567 (สำรวจระหว่างวันที่ 20-31 สิงหาคม 2567) พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 132.51 ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ในเกณฑ์ ‘ร้อนแรง’
.
โดยนักลงทุนมองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และสัญญาณบวกจากความชัดเจนของการเมืองในประเทศ ในขณะที่ปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองในประเทศ รองลงมาคือการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ และภาวะเงินเฟ้อ
.
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน สำรวจในเดือนสิงหาคม 2567 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
.
▪️ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (พฤศจิกายน 2567) อยู่ในเกณฑ์ ‘ร้อนแรง’ (ช่วงค่าดัชนี 120-159) ที่ระดับ 132.51
▪️ความเชื่อมั่นนักลงทุนทุกกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มนักลงทุนบุคคล กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ กลุ่มนักลงทุนสถาบัน และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ อยู่ในเกณฑ์ ‘ร้อนแรง’
▪️หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดพาณิชย์ (COMM)
▪️หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดยานยนต์ (AUTO)
▪️ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
▪️ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองในประเทศ
.
โดยผลสำรวจ ณ เดือนสิงหาคม 2567 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับเพิ่ม 73.6% มาอยู่ที่ระดับ 144.26 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับเพิ่ม 28.4% มาอยู่ที่ระดับ 144.44 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับเพิ่ม 32.0% มาอยู่ที่ระดับ 120.00 และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศปรับเพิ่ม 275% อยู่ที่ระดับ 125
.
สำหรับในช่วงครึ่งแรกของเดือนสิงหาคม 2567 SET Index มีความผันผวนและปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1,300 จุด จากความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศจากผลการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญต่อการยุบพรรคก้าวไกลและการถอดถอนนายกรัฐมนตรี ถึงแม้ว่าจะได้รับข่าวดีจากการประกาศ GDP ไทยในไตรมาส 2/67 เติบโตสูงกว่าคาด โดยขยายตัวที่ 2.3% ซึ่งได้แรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยว การบริโภคภาคเอกชน และการส่งออก อย่างไรก็ตาม SET Index ในช่วงครึ่งเดือนหลังปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากการเมืองเริ่มมีความชัดเจน
.
โดยมีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 และออกแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐในการแจกเงินสด 10,000 บาท แก่กลุ่มเปราะบางในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต รวมถึงท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต่อการลดดอกเบี้ย
.
📌 ‘กอบศักดิ์’ มองหุ้นไทยดีต่อเนื่อง รับเม็ดเงิน ‘วายุภักษ์’ - การเมืองคลี่คลาย
.
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวเพิ่มว่า ตลาดหุ้นไทยในระยะต่อไปยังมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง หนึ่งในปัจจัยสนับสนุนคือแรงซื้อของกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง ที่เตรียมเสนอขายหน่วยลงทุน ซึ่งคาดว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนรายย่อย เพราะให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดี โดยจะมีเงินลงทุนเข้ามาประมาณ 1.5 แสนล้านบาท
.
รวมทั้งมีโอกาสที่จะมีเม็ดเงินลงทุนจากกองทุน Thai ESG ที่ปรับเงื่อนไขให้จูงใจเพิ่มขึ้น โดยสามารถนำไปลดหย่อนภาษีเพิ่มจาก 1 แสนบาท เป็น 3 แสนบาท ซึ่งคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาประมาณ 6 หมื่นล้านบาท และเมื่อรวมเม็ดเงินลงทุนจากทั้งกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง กับกองทุน Thai ESG จะมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นรวมกันอีกราว 2 แสนล้านบาท
.
และเมื่อประเมินจากพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย คาดว่าดัชนีหุ้นไทย (SET Index) มีโอกาสไปถึงระดับ 1,460 จุดได้ หลังข้อมูลจากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) คาดว่า ณ สิ้นไตรมาส 3/67 SET Index จะอยู่ที่ระดับ 1,379 จุด แต่ตอนนี้ (9 กันยายน) กลับทะลุ 1,420 จุดแล้ว จึงประเมินปลายปีนี้ SET Index จะอยู่ที่ระดับ 1,462 จุด อย่างไรก็ตาม มุมมองเช่นนี้ประเมินจากสถานการณ์เดือนกรกฎาคม 2567 จึงอาจมีการคาดการณ์ดัชนีปีนี้ใหม่
.
นอกจากนี้ ยังได้รับแรงหนุนจากปัจจัยการเมืองของไทยที่คลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้ หลังจากจัดตั้งคณะรัฐมนตรีได้สำเร็จ อีกทั้งความต่อเนื่องของการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ เนื่องจากยังเป็นรัฐบาลชุดเดิมที่เข้ามาบริหารประเทศ
.
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับเศรษฐกิจโลก ประเมินว่าในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าจะเข้าสู่ช่วงการฟื้นตัวเฟสใหม่ (The Beginning of a New Phase of Economic Recovery) จึงเป็นช่วงที่นักลงทุนจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการหรือกลยุทธ์การลงทุนใหม่อีกครั้ง หลังจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจต้องเผชิญกับปัญหา Perfect Storm โดยการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลกต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับปัญหาเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
.
ทั้งนี้ ประเมินว่าประเด็นที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันคือ การใช้นโยบายการเงินเพื่อทำสงครามต่อสู้กับเงินเฟ้อของธนาคารกลางทั่วโลกกำลังใกล้จะจบแล้ว หลังจากแนวโน้มเงินเฟ้อทั่วโลกทั้งในอังกฤษ, ยุโรป และสหรัฐฯ ที่เคยขึ้นไปถึงระดับ 9-14% เริ่มมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องเข้าใกล้ระดับปกติ
.
ขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยของโลกกำลังจะเข้าสู่แนวโน้มการปรับลดลงแบบพร้อมเพรียงกันในทุกตลาดทั่วโลก โดยขณะนี้เริ่มเห็นธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกเตรียมปรับลดดอกเบี้ย หรือบางแห่งเริ่มลดดอกเบี้ยไปแล้ว ทั้งธนาคารกลางในอเมริกาใต้, ธนาคารกลางยุโรป (ECB), ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ (SNB), ธนาคารกลางแคนาดา (BOC) รวมถึงธนาคารกลางเอเชียที่มีโอกาสลดดอกเบี้ย
.
📌 คาดปี 69 Fed หั่นดอกเบี้ยเหลือ 3.1%
.
อีกทั้งในการประชุมของ Fed วันที่ 17-18 กันยายนนี้ คาดว่าจะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยลง ที่สำคัญยังคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในช่วงระยะเวลา 1 ปี หรือ 1 ปี 6 เดือน หลังจากเริ่มลดดอกเบี้ยครั้งแรก ซึ่งยังต้องติดตามว่าการลดดอกเบี้ยของ Fed ต่อครั้งจะเป็นอัตรา 0.25% หรือ 0.50% โดยจากข้อมูล Fed’s Dot Plot ในปี 2567 ดอกเบี้ยมีโอกาสจะลดลงได้ 2 ครั้ง จบที่ 5.1% จากนั้นในปี 2568 จะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4.1% และในปี 2569 จะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.1% โดยมีรูปแบบการลดดอกเบี้ยในอัตรา 0.25% ต่อไตรมาส หรือลดลงประมาณ 1% ต่อปี
.
“ปัจจัยดอกเบี้ยทั่วโลกที่มีแนวโน้มปรับลดลงในช่วง 2 ปีข้างหน้านี้ จะเป็นปัจจัยช่วยสนับสนุนต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่พร้อมเพรียงกันทั่วโลก
โดยการฟื้นที่ดีขึ้นจะนำไปสู่เฟสใหม่ของเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวพร้อมกันทั่วโลก ซึ่งจะมีแรงกระตุ้นจากนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งจะเป็นบวกต่อภาพบรรยากาศการลงทุนของตลาดสินทรัพย์ลงทุนทั่วโลก รวมถึงของไทย”
.
พร้อมทั้งประเมินว่าเศรษฐกิจโลกปัจจุบันได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว สะท้อนจากดัชนี PMI ของหลายประเทศขนาดใหญ่ที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น ทั้งยุโรป, สหราชอาณาจักร, สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
.
นอกจากนี้ ประเมินว่าจากการที่เศรษฐกิจของโลกกำลังอยู่ในช่วงการฟื้นตัวในเฟสใหม่จะสนับสนุนต่อตลาดส่งออกทั่วโลกให้ขยายตัวดีขึ้น รวมทั้งการส่งออกของไทยที่จะได้ประโยชน์ด้วย ซึ่งคาดว่าเครื่องยนต์ส่งออกจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของโลกในระยะถัดไป
.
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวต่อว่า แนวโน้มดอกเบี้ยที่กำลังปรับลดลงจะเกิดขึ้นท่ามกลางสภาพคล่องที่สูงของโลกจากมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องของสหรัฐฯ โดยช่วงปีก่อนวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์มีการอัดฉีดสภาพคล่องวงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยหลังจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ มีการทำ Quantitative Easing (QE) โดยทยอยปรับขึ้นมาเป็น 9 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วงโควิดระบาด ส่งผลผลักดันให้ตลาดหุ้นโลกเข้าสู่ขาขึ้น ซึ่งหลังโควิดคลี่คลายเริ่มมีการดูดสภาพคล่องออก แต่ปัจจุบันก็ยังมีสภาพคล่องอยู่ในระดับประมาณ 7 ล้านล้านดอลลาร์ ยังสูงกว่าภาวะปกติที่เคยอยู่ที่ระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์
.
📌 จับตาเกิด Asset Inflation
.
อย่างไรก็ดี จากสภาพคล่องที่ยังเหลืออยู่ในระบบที่สูงในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว จะมีผลบวกต่อสินทรัพย์ลงทุนมากกว่าในช่วงที่เศรษฐกิจโลกซบเซา อีกทั้งในระยะต่อไปมีความท้าทายจากประเด็น Asset Inflation เนื่องจากปัจจุบันสภาพคล่องที่มีจำนวนมากในโลกจะแย่งเข้าซื้อสินทรัพย์จนส่งผลให้ราคาปรับขึ้นแรง ดังนั้นในระยะต่อไปจะเป็นปัจจัยกดดัน Fed หลังจากเริ่มดำเนินนโยบายในการลดดอกเบี้ย แต่อาจกระตุ้นให้เกิดความเสี่ยงภาวะฟองสบู่ในสินทรัพย์ลงทุน โดยถือเป็นปัจจัยที่ยังต้องติดตามต่อว่า Fed จะตัดสินใจจัดการในประเด็นดังกล่าวอย่างไร
.
📌 ‘พิชัย’ มองวอลุ่มหุ้นไทยทะลุ 1 แสนล้านต่อวัน เหตุนักลงทุนเชื่อมั่น

ด้าน พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ทะลุ 1 แสนล้านบาทว่า มูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่สูงขึ้น เกิดจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อประเทศไทย ทั้งการจัดตั้งรัฐบาลที่รวดเร็ว และนโยบายต่างๆ ที่มีความชัดเจนตอบโจทย์ปัญหาของประเทศ
.
รวมทั้งที่ผ่านมารัฐบาลปรับกติกาการลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศ ในการแก้ไขปัญหาเรื่อง Short Sell ซึ่งก็ทำได้ในระดับหนึ่ง รวมทั้งการจัดตั้งกองทุนใหม่ที่จะได้รับการตอบรับจากความเชื่อมั่นที่เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของโลกที่มีแนวโน้มเข้าสู่ขาลง จะส่งผลดีต่อตลาดทุน ทำให้วอลุ่มปรับเพิ่มขึ้นเยอะ ก็ไม่ได้เป็นข้อผิดสังเกตแต่อย่างใด
.
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยจะต้องสร้างความเชื่อมั่นว่าจะปรับปรุงแก้ไขเศรษฐกิจไทยอย่างไรบ้าง รวมทั้งบริษัทในตลาดหลักทรัพย์จะต้องดำเนินธุรกิจให้มีความเข้มแข็ง รองรับการแข่งขันในตลาดโลก
.
#TheStandardWealth

21 - 1

THE STANDARD WEALTH
Posted 2 hours ago

เชื่อว่าทุกคนที่มาร่วมงานในวันนั้นน่าจะได้เคล็ดลับการไปสู่ความรวยในแบบพี่เฟิร์น ส่วนใครที่พลาดงานในวันนั้น สามารถรับชมได้จากวิดีโอนี้เลย!

#การลงทุน #หุ้น #ออมเงิน #NewGenInvestor #TheStandardWealth

4 - 0

THE STANDARD WEALTH
Posted 3 hours ago

UPDATE: ‘กอบศักดิ์’ เผยสัญญาณเตือนไทยเสี่ยงจนลง หากไม่สร้างเทคโนโลยี ปรับตัวเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ เสี่ยงเห็นปิดโรงงานระลอกใหม่
.
ปิดโรงงานรถยนต์สะท้อนว่าเทคโนโลยีไทยตกยุคแล้ว สัญญาณเตือนภัยส่อลามยาวซัพพลายเชน ทำโรงงานปิดรอบสอง หากยังไม่หาอุตสาหกรรมใหม่ มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ อนาคตไทยเสี่ยงจนลงเมื่อเทียบคู่แข่ง
.
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า โจทย์ที่สำคัญของรัฐบาลคือจะมีมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร โดยเฉพาะเศรษฐกิจกลุ่มฐานรากที่ปัจจุบันกำลังประสบปัญหามากกว่าที่คาดไว้ซึ่งมีผลกระทบต่อกำลังซื้อ
.
รวมทั้งมีปัญหาหนี้เสีย (NPL) ที่สูง โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่มีหนี้กลุ่ม (Special Mention: SM) ที่สูงและยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ถือเป็นประเด็นที่น่ากังวลมาก เพราะกำลังสะท้อนปัญหาว่าผู้บริโภคไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ รวมถึง NPL ของหนี้ภาคที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น
.
“คิดว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจบ้างก็โอเค การแจกเงิน 10,000 บาทกับกลุ่มเปราะบางที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อให้กลุ่มนี้มีเงินเพื่อหมุนเศรษฐกิจโดยเร็วในช่วงสั้นๆ ถือว่าโอเค อยากให้เป็นการทำแบบมุ่งเป้าในลักษณะนี้ จากกระบวนการที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้จะทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งเรื่องนี้เพื่อให้ทันปีงบประมาณ ดังนั้นต้องผ่านช่องทางที่ง่ายที่สุด เร็วที่สุด ตรงที่สุด ซึ่งจะไปสู่การใช้ช่องทางเดิมที่มี ใช้ตัวเลขที่ไม่มากจนเกินไป และไม่ซับซ้อนเกินไป ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะช่วยให้เม็ดเงินถึงมือประชาชน สามารถนำไปใช้ได้เลย แก้ปัญหาฐานรากที่กำลังอ่อนแอในขณะนี้”
.
สำหรับแนวโน้มของเศรษฐกิจไทยประเมินว่า GDP ของไทยในปี 2567 จะขยายได้ในระดับประมาณ 3% ภาพรวมได้ผ่านจุดต่ำสุด (Bottom) ไปแล้ว และกำลังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยมีแรงขับเคลื่อนจากหลายปัจจัยในช่วงปลายปีนี้ ทั้งจากภาคการส่งออกในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาที่ขยายตัวดีประมาณ 15%
.
รวมทั้งการลงทุนทางตรง (FDI) ที่มีสัญญาณฟื้นตัวได้ดี รวมภาคการท่องเที่ยวของไทยที่ขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่องชัดเจน โดยคาดว่าในช่วงเดือนธันวาคมปีนี้ หรือเดือนมกราคม 2568 มีโอกาสที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะฟื้นตัวกลับมาในระดับ 4 ล้านคน หรือมากกว่า 4 ล้านคน กลับมาใกล้เคียงกับช่วงที่โควิดแพร่ระบาด อีกทั้งคาดว่ารัฐบาลที่มีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ที่เข้ามาทำงานจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติม รวมทั้งโครงการลงทุนภาครัฐ
.
ปิดโรงงานรถยนต์เป็นสัญญาณเตือนภัย ไทยเสี่ยงจนลง
.
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2568 หรือในระยะกลางถึงยาว ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐบาลที่จะช่วยขับเคลื่อนการลงทุนต่อเนื่องในโครงการเดิม เช่น โครงการ EEC ทั้งการพัฒนาท่าเรือ สนามบิน ระบบขนส่งทางราง และมอเตอร์เวย์ เพื่อเป็นพื้นฐานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยในอนาคต อีกทั้งมีการชักชวนนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง
.
นอกจากนี้ ในระยะยาวต้องลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่แท้จริง เพื่อเปลี่ยนผ่านให้ประเทศไทยก้าวสู่การพึ่งพาเทคโนโลยีให้มากขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจจะไม่สามารถพึ่งภาคเกษตรและท่องเที่ยวเช่นในอดีตได้อีกต่อไป เพราะสินค้าเทคโนโลยีกำลังเป็นเทรนด์โลก หากดำเนินการได้เชื่อว่า GDP ของไทยในระยะยาวมีโอกาสจะขยายตัวได้ในระดับ 4.5% ต่อปี
.
“การปิดกิจการโรงงานผลิตรถยนต์ของทั้ง Subaru, Suzuki และ Honda ในประเทศไทย ไม่ใช่เรื่องปกติ เป็นสัญญาณเตือนภัย บริษัทเหล่านี้ถือเป็นเสาหลักของประเทศไทยมายาวนานในการส่งออก สะท้อนว่าเทคโนโลยีที่เรามีตกยุคแล้ว ไม่สามารถใช้ได้ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อซัพพลายเชนที่เหลือจำนวนมากในประเทศไทย อาจจะเห็นภาพการปิดโรงงานในรอบที่สองหรือรอบที่สามต่อไปในอนาคต สะท้อนว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ไทยเข้าอุตสาหกรรมใหม่ๆ และต้องสร้างเทคโนโลยี หากคู่แข่งทำเรื่องนี้แล้วเราไม่ทำ ในระยะยาวประเทศไทยในอนาคตจะกลายเป็นประเทศที่จนลง โดยเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่ง เพราะโลกกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของเทคโนโลยีคือ AI และเทคโนโลยีใหม่ที่จะเข้าไปมีส่วนในทุกอุตสาหกรรม ซึ่งเทคโนโลยีในอดีตที่เคยเกิดขึ้น เช่น ไฟฟ้า ไอน้ำ ก็เข้าไปอยู่ในทุกอุตสาหกรรม”
.
นอกจากนี้ประเมินว่า เศรษฐกิจของโลกในช่วง 2-3 ปีข้างหน้ากำลังเข้าสู่ช่วงการฟื้นตัวเฟสใหม่ (The Beginning of a New Phase of Economic Recovery) ทั้งนี้จึงเป็นช่วงที่นักลงทุนจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการหรือกลยุทธ์การลงทุนใหม่อีกครั้ง
.
ประเด็นที่สำคัญที่สุดในปัจจุบัน คือการใช้นโยบายการเงินเพื่อทำสงครามต่อสู้กับเงินเฟ้อของธนาคารกลางทั่วโลก ซึ่งกำลังใกล้จะจบแล้ว หลังจากแนวโน้มเงินเฟ้อทั่วโลกทั้งในอังกฤษ ยุโรป และสหรัฐฯ ที่เคยพุ่งขึ้นไปถึงระดับ 9-14% เริ่มมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง เข้าใกล้ระดับปกติ
.
ขณะที่ทิศทางของดอกเบี้ยของโลกกำลังจะเข้าสู่แนวโน้มการปรับลดลงแบบพร้อมเพียงกันในทุกตลาดทั่วโลก โดยขณะนี้เริ่มเห็นธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกเริ่มเตรียมปรับลดดอกเบี้ยหรือบางแห่งเริ่มลดดอกเบี้ยไปแล้ว ทั้งธนาคารกลางในอเมริกาใต้, ธนาคารกลางยุโรป (ECB), ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ (SNB), ธนาคารกลางแคนาดา (BOC) รวมถึงธนาคารกลางเอเชียที่มีโอกาสลดดอกเบี้ย
.
อีกทั้งในการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในวันที่ 17-18 กันยายนนี้ คาดว่าจะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยลง อีกทั้งที่สำคัญยังคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในช่วงระยะเวลา 1 ปี หรือ 1 ปี 6 เดือนหลังจากเริ่มลดดอกเบี้ยครั้งแรก
.
ในปี 2567 ดอกเบี้ยมีโอกาสจะลดลงได้ 2 ครั้ง จบที่ 5.1% จากนั้นในปี 2568 จะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4.1% และในปี 2569 จะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.1% โดยมีรูปแบบการลดดอกเบี้ยในอัตรา 0.25% ต่อไตรมาส หรือลดลงประมาณ 1% ต่อปี
.
แบงก์ชาติมีความจำเป็นลดลงในการลดดอกเบี้ย
.
โดยปัจจัยดอกเบี้ยทั่วโลกที่มีแนวโน้มปรับลดลงในช่วง 2 ปีข้างหน้านี้จะเป็นปัจจัยช่วยสนับสนุนต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่พร้อมเพรียงกันทั่วโลก โดยการฟื้นตัวที่ดีขึ้นจะนำไปสู่เฟสใหม่ของเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวพร้อมกันทั่วโลก ซึ่งจะมีแรงกระตุ้นจากนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกที่พร้อมเพรียงกัน และจะเป็นบวกต่อภาพบรรยากาศการลงทุนของตลาดสินทรัพย์ลงทุนทั่วโลกรวมถึงของไทย
.
พร้อมทั้งประเมินว่าเศรษฐกิจโลกปัจจุบันได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว สะท้อนจากดัชนี PMI ของหลายประเทศขนาดใหญ่ที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น ทั้งยุโรป สหราชอาณาจักร สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ที่ตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
.
นอกจากนี้ประเมินว่า จากการที่เศรษฐกิจของโลกกำลังอยู่ในช่วงการฟื้นตัวในเฟสใหม่จะสนับสนุนต่อตลาดส่งออกทั่วโลกให้ขยายตัวดีขึ้น รวมทั้งการส่งออกของไทยที่จะได้ประโยชน์ด้วย ซึ่งคาดว่าเครื่องยนต์ส่งออกจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของโลกในระยะถัดไป
.
ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มองว่าจังหวะที่เหมาะสมที่สุดในการปรับลดดอกเบี้ยของ ธปท. คือช่วงต้นปีที่ผ่านมา เพราะเป็นช่วงที่เงินเฟ้อติดลบและเศรษฐกิจของไทยเติบโตต่ำที่สุด โดยมองว่า Neutral Rate ของไทยควรอยู่ที่ 2-2.5% อีกทั้งประเมินว่าความจำเป็นในการใช้นโยบายการเงินมีความจำเป็นลดลง ดอกเบี้ยในการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มหมดลง เนื่องจากมีเครื่องยนต์สำคัญทั้งการส่งออก การท่องเที่ยว การลงทุนภาครัฐ และ FDI ที่กำลังขยายตัวได้ดี จึงมีความจำเป็นลดลงที่แบงก์ชาติจะลดดอกเบี้ย
.
#TheStandardWealth

130 - 14

THE STANDARD WEALTH
Posted 4 hours ago

GoTo Group บริษัทผู้ให้บริการเรียกรถและเดลิเวอรีสัญชาติอินโดนีเซีย ประกาศปิดตัว Gojek ธุรกิจหลักในเวียดนามอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายนนี้

#GojekVietnam #GoToGroup #Delivery #TheStandardWealth

5 - 0

THE STANDARD WEALTH
Posted 6 hours ago

UPDATE: ‘มูเก็ตติ้ง’ การผสมผสานของความเชื่อกับธุรกิจ กำลังสร้างเม็ดเงินให้กับเชียงรายและเศรษฐกิจไทยโตหมื่นล้าน จากกลุ่ม Gen Z - ผู้หญิง ที่มีกำลังซื้อสูง
.
ไม่ว่าเศรษฐกิจจะอยู่ในสภาวะที่ซบเซาแค่ไหน หลายธุรกิจปิดกิจการลง อาจสวนทางกับธุรกิจความเชื่อและความศรัทธา หรือ ‘ธุรกิจสายมู’ ที่เติบโตอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน
.
การนำเอาศาสตร์สายมูมาใช้วางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด (Muketing: MU + Marketing) ส่งผลให้มูลค่าตลาดมูเก็ตติ้งในไทยปีนี้ยังคงสูงถึงหมื่นล้านบาท ซึ่งเชียงรายเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติสายมูเดินทางมาตามรอยวัดดังคึกคัก และยังมีการส่งออกเครื่องรางไปจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดอีกด้วย
.
อรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันธุรกิจเกี่ยวกับความเชื่อมีหลากหลายรูปแบบ ไม่จำกัดเฉพาะพระเครื่องอย่างเดียวเท่านั้น โดยเทรนด์ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ถ้าเทียบกันระหว่างตลาดพระเครื่องกับสินค้าสายมู สินค้าสายมูดูจะมาแรงกว่า เนื่องจากคนที่นิยมมีทุกวัย โดยแต่ละกลุ่มอายุจะมีวิธีการมูเตลูที่แตกต่างกัน ซึ่งกลุ่มที่มีความเชื่อและกำลังซื้อค่อนข้างสูง ได้แก่ กลุ่ม Gen Z โดยการเข้าถึงข้อมูลส่วนใหญ่จะมาจากโซเชียลมีเดีย ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมของกลุ่ม Gen Z
.
ขณะเดียวกันเทรนด์เปลี่ยน ซึ่งปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงเกือบ 100% ที่ยอมทุ่มให้สินค้าสายมู เช่น พญานาค ผ้ายันต์ เครื่องราง เครื่องประดับ แหวน กำไล นาฬิกา กระเป๋า สร้อยข้อมือ สร้อยคอ เครื่องสำอาง น้ำหอม ลิปสติกฯลฯ ซึ่งเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้หญิงมากกว่าพระเครื่อง
.
อรมนระบุว่า “หากดูในแง่ของกำลังซื้อ ผู้หญิงกล้าทุ่มเรื่องการใช้จ่ายมากกว่าผู้ชาย ประกอบกับสินค้าสายมูราคาต่อชิ้นไม่สูงมากนัก อยู่ที่ประมาณ 300-1,000 บาท ทำให้ผู้ซื้อตัดสินใจได้ง่าย ส่งผลให้มูลค่าตลาดมูเก็ตติ้งน่าจะถึงหลักหมื่นล้านบาท เฉพาะในเมืองไทยยังไม่เท่าไร ส่วนมากจะมูไปต่างประเทศทำให้มีการส่งออกสูง โดยประเทศจีนเป็นตลาดใหญ่ที่สุด”
.
THE STANDARD WEALTH ลงพื้นที่สำรวจธุรกิจจังหวัดเชียงราย ที่ร้าน ‘คู่หูดูโอ้ ดล-ปอนด์’ ร้านเช่าพระเครื่องรายใหญ่ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ตลาดพระเครื่องลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายที่พอจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องพระเครื่อง มีกำลังทรัพย์ในการสะสม เนื่องจากมีราคาค่อนข้างสูง ราคาอยู่ที่ความนิยมในแต่ละช่วงเวลาและความต้องการของตลาด
.
เช่น พระที่หายากหรือพระที่เป็นตำนาน เช่น พระสมเด็จฯ ราคาจะอยู่ที่หลักแสน-หลักล้าน แล้วแต่ความพอใจระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย พระมีราคาขายออก มีราคารับซื้อคืน เป็นมาตรฐานของท้องตลาด ราคาพระเครื่องขึ้นมากกว่าราคาทองคำ แถมไม่มีเพดาน ทองคำซื้อขายกันทั่วโลก มีราคาขึ้นลงตามปัจจัยสนับสนุน ณ เวลานั้นๆ แต่พระเครื่องขึ้นอยู่กับความเชื่อ ความศรัทธา
.
“กระแสมีขึ้นมีลง ไม่แน่นอน แต่คนที่เป็นนักสะสมพระจริงๆ จะรู้ทันราคากันหมด เพราะปัจจุบันมีสื่อมากมายให้เปรียบเทียบ ต่างกับสมัยก่อนซื้อมาหลักร้อยสามารถขายองค์ละเป็นแสนเป็นล้านได้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมี แม้มีบ้างแต่ก็น้อยมาก เดี๋ยวนี้เด็กรุ่นใหม่เพิ่งเรียนจบบางคนก็มาทำงานตามร้านเช่าพระ พอเริ่มเล่นพระเป็นก็อยากขายเอง”
.
ประกอบกับปัจจุบันเจ้าของธุรกิจพระเครื่องและธุรกิจมูเก็ตติ้งไม่ใช่กลุ่มผู้สูงวัยแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่น Gen Z อายุระหว่าง 20-30 ปี มีความรู้ด้านการตลาด สามารถใช้โซเชียลเป็น ก็ซื้อมาขายไปผ่านการไลฟ์ ซึ่งตลาดจะกว้างกว่าสมัยก่อนมาก คนซื้อขายกันได้ทั่วโลก ลูกค้ามาจากประเทศจีนซื้อขายกันผ่าน WeChat แต่ยังใช้มาตรฐานของคนไทย
.
หากต้องการพระแท้ต้องออกใบรับรองจากสมาคมฯ แล้วส่งไปที่เมืองจีน เมืองไทยเปรียบเสมือนศูนย์กลางความเชื่อและศรัทธาของโลก ตลาดพระเครื่องจึงยึดมาตรฐานของไทยเป็นหลัก
.
🔴 ชวนวิเคราะห์ เหตุใดธุรกิจที่เกี่ยวกับความเชื่อเติบโตและขยายตัวอย่างรวดเร็วในไทย
.
อรมนฉายภาพอีกว่า แม้รูปแบบการขายสินค้าเกี่ยวกับความเชื่อจะเปลี่ยนแปลงไป มีช่องทางในการจำหน่ายมากขึ้นทั้งออฟไลน์และออนไลน์ และด้วยเศรษฐกิจที่ซบเซา ผู้คนต้องการที่พึ่งทางใจ ซึ่งก็เป็นสิ่งสะท้อนว่าสังคมไทยให้ความสำคัญกับความเชื่อทั้งทางพุทธศาสนาและไสยศาสตร์ ยิ่งส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวกับความเชื่อเติบโตและขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งมีรูปแบบที่หลากหลาย ไม่ตายตัว
.
ยกตัวอย่างเช่น การจัดทัวร์ไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทริปละ 3-10 วัน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ หรือธุรกิจเครื่องรางของขลัง ของนำโชค หากผู้ประกอบการมองเห็นลู่ทางก็สามารถประคองธุรกิจได้
.
นอกจากนี้ จากการสำรวจการตลาดมูเก็ตติ้งในจังหวัดเชียงราย พบว่า ตลาดรอบๆ วัดดังในจังหวัดมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติยืนเลือกซื้อสินค้าสายมูกันอย่างคึกคักและต่อเนื่อง โดยเฉพาะชาวต่างชาติจะให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ ส่งผลให้ธุรกิจข้างเคียงหลายธุรกิจพลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย
.
🔴 ยอดจดนิติบุคคลเพิ่มขึ้น 52.92%
.
อรมนบอกอีกว่า “เศรษฐกิจสายมูของประเทศไทยยังสามารถเดินไปข้างหน้าได้อีกยาวไกล สร้างรายได้เข้าชุมชน และเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมาก”
.
ปัจจุบันยอดจดนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการสายมู (โหราศาสตร์และความเชื่อศรัทธา) อยู่ 154 ราย
.
ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นธุรกิจขนาดเล็ก (S) ที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท โดยข้อมูลงบการเงินปี 2566 ธุรกิจในกลุ่มนี้สามารถทำรายได้ 227.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.92% จากปีก่อนหน้า
.
โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะประกอบธุรกิจในนามบุคคลธรรมดา อย่างไรก็ตาม ขอเตือนนักลงทุนที่กำลังจะเข้าสู่ธุรกิจสายมู ต้องทำการศึกษาตลาดให้ดีก่อนการลงทุน พยายามเรียนรู้รูปแบบธุรกิจที่แท้จริงจากผู้ที่มีประสบการณ์หรือผู้ที่เข้ามาในตลาดก่อน จะช่วยลดความเสี่ยงด้านการประกอบธุรกิจ และสร้างผลกำไร
.
ปัจจุบัน ‘การมูเตลู’ หรือความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนไทยทุกเพศทุกวัย ผลการศึกษาจากสถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) เผยให้เห็นถึงพฤติกรรมการมูเตลูที่แตกต่างกันของคนไทยในแต่ละเจเนอเรชัน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นโอกาสทางการตลาดที่สำคัญสำหรับธุรกิจยุคใหม่
.
จากผลสำรวจคนไทยกว่า 1,200 คน พบว่า 88% เชื่อเรื่องการมูเตลู และ 52% มองว่าการมูเตลูเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ คนไทยส่วนใหญ่มูเพื่อตัวเองมากกว่าครอบครัว
.
#TheStandardWealth

83 - 5

THE STANDARD WEALTH
Posted 7 hours ago

SMEs ของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่จากสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาตีตลาดอย่างหนัก ไม่ว่าจะด้วยราคาที่ถูกกว่า ความหลากหลายที่มีมากกว่า

#SME #สินค้าจีน #Temu #TheStandardWealth #การลงทุน #ลงทุน

11 - 0

THE STANDARD WEALTH
Posted 9 hours ago

PHOTO ALBUM: สรุปรวบยอดการเปิดตัว Apple Watch 10, AirPods 4 และไฮไลท์เด่นสุดกับ ‘iPhone 16’ ที่รอคอย
.
สิ้นสุดการรอคอยกับงานใหญ่ที่สุดประจำปีในฝั่งฮาร์ดแวร์ของ Apple ภายใต้ธีม It’s Glowtime ที่เปิดตัวอุปกรณ์เทคโนโลยีทั้ง Apple Watch, AirPods, iPhone16 ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 9 กันยายน 2567 ตามเวลาท้องถิ่นในสหรัฐฯ
.
THE STANDARD WEALTH ขอสรุปไฮไลท์ในส่วนของการเปิดตัวอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์มาให้เห็นภาพรวมกัน แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นไปตามข่าวที่หลุดมาก่อนหน้านี้ก็ตาม แต่ใดๆ ก็ยังน่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย
.
โฉมใหม่ Apple Watch ครบรอบ 10 ปี
เริ่มกันที่ตัวแรก Apple Watch Series 10 ซึ่งถือเป็นเวลาเกือบหนึ่งทศวรรษแล้วที่ Apple เปิดตัวสมาร์ทวอทช์รุ่นแรก โดยจุดเด่นของอุปกรณ์นี้คือการออกแบบโฉมใหม่ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นับตั้งแต่อุปกรณ์วางขายครั้งแรก ซึ่ง Tim Cook ซีอีโอของบริษัทกล่าวว่า “Apple Watch Series 10 เป็นดีไซน์ ที่มีหน้าจอใหญ่ที่สุดและดีไซน์บางที่สุดของเรา"
.
ตัวเรือนมีความบาง 9.7 มิลลิเมตร ที่บางกว่ารุ่นที่แล้ว Series 9 ถึง 10% และนี่เป็นครั้งแรกที่ผู้ใช้จะสามารถเล่นเพลงกับพอดแคสต์ได้โดยตรงบน Apple Watch ทำให้นาฬิกามีน้ำหนักเบากว่าเดิม
.
Apple Watch Series 10 ขับเคลื่อนโดยชิป S10 ใหม่ ซึ่งจะช่วยการใช้งานแอปพลิเคชั่นแปลภาษาที่ทำงานด้วยระบบ AI ของบริษัทผ่านความสามารถของอุปกรณ์ในการรับเสียงและแปลออกมาในหลากหลายภาษา โดยแอปแปลภาษาดังกล่าวจะทำงานได้กับซอฟท์แวร์ล่าสุดของสมาร์ทว้อช WatchOS 11
.
สำหรับ Apple Watch SE วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้นที่ 7,900 บาท เริ่มวางจำหน่าย 20 ก.ย.นี้ ส่วน Apple Watch Series 10 ราคาเริ่มต้นที่ 14,900 บาท ถูกระบุว่า จะเปิดให้สั่งซื้อเร็วๆ นี้
.
อีกสิ่งที่คนชอบสีดำน่าจะร้องกรี๊ด Apple Watch Ultra 2 ที่มาใน ‘สีไทเทเนียมดำ’ โดยยังคงวางขายในราคาเริ่มต้นที่ 29,900 บาท ซึ่งถูกกว่าครั้งแรกที่วางขายในราคา 31,900 บาท และรอบนี้ยังมี Apple Watch Hermès Ultra จำหน่ายในราคา 50,500 บาท โดยเริ่มวางขาย 20 กันยายน
.
หูฟัง AirPods 4 มีให้เลือก 2 รุ่น
ขยับมาตัวที่สอง AirPods ที่ออกมาเป็นรุ่นที่ 4 หลังรุ่นที่ 3 เปิดตัวไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยการมาของ AirPods 4 ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่โมเดลธรรมดามีตัวเลือกให้ผู้ใช้งานสามารถอัพเกรดเพิ่มฟีเจอร์ตัดเสียงได้ (แต่ก็ต้องเพิ่มขึ้นอีก 1,500 บาท)
.
นอกจากนี้ AirPods Pro หูฟังขนาดเล็กอีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างมากก็มีฟีเจอร์ใหม่ที่สามารถใช้เป็นอุปกรณ์ช่วยฟังที่ Apple เคลมว่า “มีมาตรฐานเดียวกันกับที่ใช้งานในอุตสาหกรรมการแพทย์” ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานที่มีปัญหาการรับเสียง ได้ยินอย่างชัดเจนมากขึ้น
.
อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์การช่วยฟังยังคงอยู่ระหว่างการตรวจสอบความปลอดภัยจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐฯ แต่ Apple ก็ยืนยันว่าการอนุมัติ “กำลังใกล้เข้ามาแล้ว”
.
AirPods 4 ระบุว่าจะเปิดขายได้เร็ว ๆ นี้ในราคา 4,990 บาท ส่วน AirPods 4 พร้อมระบบตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟ เคาะราคา 6,490 บาท นอกจากนี้ AirPods Max มีให้เลือกเป็น 5 สีสัน ซึ่งมสามารถในการชาร์จแบบ USB‑C โดยวางขายในราคาเดิม 19,900 บาท
.
Apple Intelligence เริ่มใช้ได้เดือนหน้า แต่ยังไม่มี ‘ไทย’
อีกหนึ่งความคืบหน้าต่อจากงาน WWDC 2024 ที่จัดไปช่วงกลางปีคือการเผยความคืบหน้าของการใช้ Apple Intelligence ระบบ AI ที่สุดแสนจะภูมิใจของ Apple จะเริ่มเปิดให้ใช้งานในเดือนหน้าพร้อมกับ iOS 18.1, iPadOS 18.1 และ macOS Sequoia 15.1 ส่วนฟีเจอร์อื่นๆ จะทยอยเปิดให้ใช้งานในเดือนต่อ ๆ ไป
.
ในช่วงแรก Apple Intelligence จะเปิดให้ใช้งานในภาษาอังกฤษแบบ U.S. English และเร็วๆ นี้จะเพิ่มภาษาอังกฤษ Australia, Canada, New Zealand, South Africa และ U.K. ในราวเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้
.
ส่วนฟีเจอร์อื่น ๆ รวมถึงรองรับภาษาอื่นๆ อาทิ ภาษาอังกฤษแบบ Singapore, ภาษาฝรั่งเศส, ภาษาญี่ปุ่น และ ภาษาสเปน จะทยอยรองรับเพิ่มเติมภายในปีหน้า
.
และน่าเสียดายว่าสำหรับประเทศไทยนั้นยังไม่ได้รวมอยู่ในรายชื่อนี้ ดังนั้นคนไทยอาจจะสามารถใช้งานได้ในปี 2569 โน้นเลย
.
มาแล้ว ‘iPhone 16’!
แน่นอนว่างานในครั้งนี้พระเอกคงหนีไม่พ้น ‘iPhone 16’ (ซึ่งแทบจะเป็นไปตามข่าวลือทั้งหมด) โดย Tim Cook กล่าวว่า “ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับ Apple Intelligence โดยเฉพาะ” ทำให้กลยุทธ์ของ Apple ที่จะผนวกเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อย่างเต็มตัวมีความชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ประเด็นที่ว่ากลยุทธ์นี้จะดึงให้ยอดขายกลับมาได้หรือไม่ยังเป็นสิ่งที่ต้องจับตา
.
หนึ่งในการอัปเดตที่ใหญ่ที่สุดของ iPhone 16 คือ ‘การเพิ่มปุ่มควบคุมกล้อง’ ที่ตอบสนองต่อการคลิกในลักษณะต่างๆ โดยการกดเบาๆ จะแสดงพรีวิวของภาพถ่าย ในขณะที่การเพิ่มแรงกดจะเป็นการสั่งถ่ายภาพ และการสไลด์นิ้วบนปุ่มก็จะเป็นซูมเข้าออก ทำให้สามารถเข้ากล้องสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว
.
นอกจากนี้ยังมีชิป A18 ใหม่ที่ Apple เคลมว่ามันทำให้ iPhone 16 เร็วขึ้นถึง 30 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับ iPhone 15 และหน้าจอมากับ Ceramic Shield เจเนอเรชั่นล่าสุดที่มีการผสมสูตรอันล้ำสมัยซึ่งมีความแข็งแกร่งกว่า Ceramic Shield เจเนอเรชั่นแรก 50 เปอร์เซ็นต์ แข็งแกร่งกว่ากระจกบนสมาร์ทโฟนอื่นถึง 2 เท่า
.
สำหรับรุ่นที่พรีเมียมกว่าทั้ง iPhone 16 Pro และ Pro Max จะมาพร้อมกับหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย โดยรุ่น Pro ธรรมดาจะมีหน้าจอ 6.3 นิ้ว ในขณะที่ Pro Max มีหน้าจอ 6.9 นิ้ว โดยรุ่น Pro จะมาพร้อมกับปุ่มควบคุมกล้องและชิป A18 Pro ซึ่ง Apple กล่าวว่า iPhone 16 Pro Max มี ‘อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่อึดสุดเท่าที่เคยมีมา’
.
สำหรับ iPhone 16 และ iPhone 16 Plus จะมาในสีน้ำเงินอัลตร้ามารีน เขียวอมฟ้า ชมพู ขาว และดำ พร้อมด้วยพื้นที่จัดเก็บข้อมูลความจุ 128GB, 256GB และ 512GB iPhone 16 ราคาเริ่มต้นที่ 29,900 บาท หรือ และ iPhone 16 Plus ราคาเริ่มต้นที่ 34,900 บาท
.
ส่วน iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max จะมาในแบบไทเทเนียมดำ ไทเทเนียมธรรมชาติ ไทเทเนียมขาว และไทเทเนียมทะเลทราย พร้อมด้วยพื้นที่จัดเก็บข้อมูลความจุ 128GB, 256GB, 512GB และ 1TB ราคา iPhone 16 Pro เริ่มต้นที่ 39,900 บาท และ iPhone 16 Pro Max ราคาเริ่มต้นที่ 48,900 บาท
.
โดยทั้ง 2 รุ่นสามารถล่วงหน้าได้เริ่มตั้งแต่วันศุกร์ที่ 13 กันยายน เวลา 19:00 น. (เวลาประเทศไทย) และจะวางจำหน่ายเริ่มตั้งแต่วันศุกร์ที่ 20 กันยายน ขณะที่ iOS 18 จะพร้อมให้ใช้งานในรูปแบบของการอัปเดตซอฟต์แวร์ฟรีในวันจันทร์ที่ 16 กันยายน
.
#TheStandardWealth #AppleEvent #ItsGlowTime

13 - 0

THE STANDARD WEALTH
Posted 10 hours ago

KEA ยักษ์ใหญ่เฟอร์นิเจอร์สัญชาติสวีเดน เตรียมรุกตลาดจีนด้วยกลยุทธ์ใหม่ เจาะกลุ่มผู้บริโภคที่นิยมสินค้าราคาประหยัด ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาและปัญหาการว่างงานในหมู่คนรุ่นใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้น

#IKEA #คนจีนประหยัด #เศรษฐกิจจีน #TheStandardWealth

7 - 0

THE STANDARD WEALTH
Posted 1 day ago

UPDATE: ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเฮียริ่งการปรับปรุงเกณฑ์เพื่อรองรับการซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ ถึง 13 ก.ย. นี้
.
ตามที่รัฐบาลมีนโยบายให้ระดมทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง (VAYU1) เพื่อเป็นกลไกเสริมสร้างการออมและการลงทุนให้กับประชาชน รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนของประเทศ โดยจะเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. แก่ผู้ลงทุนทั่วไป และนำเข้าจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป
.
โดยความคืบหน้าล่าสุดของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ทางกระทรวงการคลังได้เปิดเผยข้อมูลว่า การขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท จะเริ่มเปิดให้ประชาชนรายย่อยจองซื้อได้ในระหว่างวันที่ 16-20 กันยายน 2567 และเปิดให้นักลงทุนสถาบันจองซื้อได้ในระหว่างวันที่ 18-20 กันยายน 2567 และจะสามารถทราบผลการจัดสรรหน่วยลงทุนได้ในวันที่ 23 กันยายน 2567
.
จากนั้นกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง จะเริ่มเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 และพร้อมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันที่ 15 ตุลาคม 2567
.
ความชัดเจนนี้ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET Index) ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ​ โดยในวันที่ 5 กันยายน 2567 SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 38.79 จุด หรือ 2.84% จากวันก่อนหน้า และวันที่ 6 กันยายน 2567 ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่ออีก 23.36 จุด หรือ 1.66% จากวันก่อนหน้า
.
ฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี พัฒนสิน ระบุว่า SET Index เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 ที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญนั้น เป็นเพราะสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศที่ชัดเจน และแรงหนุนจากความคืบหน้าของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง
.
ทั้งนี้กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ไม่ใช่มาตรการสนับสนุนตลาดหุ้นไทยที่ใหม่นัก เพราะได้เริ่มขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2546 หรือ 21 ปีที่แล้ว ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของ Domestic Long Term Fund ที่ค่อยๆ แข็งแรงขึ้นหลังพ้นวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 และหลังจากนั้นราวปี 2547 กองทุน LTF ก็ถือกำเนิดขึ้น
.
การกลับมาของกองทุน TESG ซึ่งถือเป็น LTF รูปแบบใหม่ รวมถึงกองทุนรวมวายุภักษ์ จึงเชื่อว่าจะทำให้เม็ดเงินจากฝั่งกองทุนเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยเร่งขึ้นต่อเนื่องได้ช่วงถัดไป เป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยวงจรใหม่
.
จะเห็นว่าการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของ SET Index กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง และเพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้รองรับการจดทะเบียนและการซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวม (Mutual Funds) ให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น และเป็นประโยชน์แก่ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
.
1. ปรับปรุงระยะเวลาในการเปิดเผยข้อมูลของกองทุนรวม เพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนอย่างเพียงพอ
1.1 ปรับปรุงการเปิดเผยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วยลงทุน (NAV) ผ่านระบบของตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คือ ทุกวันทำการ
1.2 ปรับปรุงการเปิดเผยวันให้สิทธิใดๆ (วันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุน (Book Closing Date) หรือวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหน่วยลงทุน (Record Date)) แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมไม่น้อยกว่า 5 วันทำการก่อนวันให้สิทธิ
.
2. ปรับปรุงเกณฑ์ราคาขายชอร์ตให้แก่ผู้ที่ประสงค์จะทำหน้าที่ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) ของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง และช่วงราคา (Tick Size) ในการซื้อขายกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง เพื่อสนับสนุนการทำหน้าที่ของ Market Maker ในการช่วยส่งเสริมสภาพคล่องเพื่อประโยชน์แก่ผู้ลงทุน
2.1 ยกเว้นเกณฑ์ราคาขายชอร์ตให้ Market Maker ของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง สามารถขายชอร์ตหน่วยลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ได้โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องราคาขายชอร์ต
2.2 ปรับปรุงช่วงราคาในการเสนอซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ให้เป็นขั้นบันไดเช่นเดียวกับหุ้น
.
โดยการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องในครั้งนี้เป็นไปเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าว
.
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เผยแพร่เอกสารรับฟังความคิดเห็นพร้อมรายละเอียดบนเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th/.../rules.../market-consultation หัวข้อ ‘การปรับปรุงเกณฑ์เพื่อรองรับการซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์’
.
โดยผู้ลงทุนและผู้เกี่ยวข้องสามารถร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่ forms.gle/gS5BCiBDuAoZcddU9 ตั้งแต่วันนี้ - 13 กันยายน 2567
.
#TheStandardWealth #กองทุนรวมวายุภักษ์

62 - 0

THE STANDARD WEALTH
Posted 1 day ago

ทำความรู้จัก ‘กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง’ ที่เปิดโอกาสการลงทุนสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว ซึ่งเตรียมเดินหน้าเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. แก่ผู้ลงทุนทั่วไปเร็วๆ นี้

#กองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่ง #กองทุนรวม #การลงทุน #TheStandardWealth #กองทุนรวมวายุภักษ์

11 - 0